เชียงใหม่ 2 เม.ย. – กกต.เชียงใหม่ เตรียมความพร้อมสถานที่และซักซ้อมเจ้าหน้าที่ รองรับผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขต ที่อาจมีถึง 440 คน ในวันพรุ่งนี้ (3 เม.ย.)
นายนพดล สุยะ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง และเจ้าหน้าที่รับสมัคร ประชุมชี้แจงและซักซ้อมขั้นตอนในการรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 10 เขตเลือกตั้ง ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ที่กำหนดวันรับสมัครเริ่มพรุ่งนี้ (3 เม.ย.) เป็นวันแรก จนถึงวันที่ 7 เมษายนนี้
นายนพดล กล่าวว่า วันนี้คณะกรรมการรับสมัครได้ซักซ้อมในกรณี ที่ผู้สมัครมาก่อนเวลา 08.30 น. ให้ถือว่าทุกคนมาพร้อมกัน ซึ่งต้องมีการจับสลากเพื่อจัดเรียงลำดับของผู้ที่จะเข้ายื่นเอกสารเพื่อจะได้รับเบอร์ประจำตัวผู้สมัครเพื่อใช้ในการหาเสียง รวมถึงขั้นตอนการตรวจสอบเอกสาร คุณสมบัติ เข้าไปยังในพื้นที่การรับสมัคร ที่มีผู้ติดตามได้เพียงคนเดียว รวมถึงผู้สมัครต้องเตรียมเอกสารมาให้ครบตามที่ระเบียบกำหนดพร้อมค่าสมัครคนละ 10,000 บาท
สำหรับจังหวัดเชียงใหม่แบ่งเขตการเลือกตั้ง 10 เขต และมีพรรคที่ทำกิจกรรมในเชียงใหม่ 44 พรรค ซึ่งหมายความว่าแต่ละพรรคสามารถส่งผู้สมัครได้ครบทุกเขต ถ้าส่งครบก็จะทำให้มีผู้สมัคร ส.ส. มากถึง 440 คน จากสถิติเลือกตั้งปี 62 ทั้ง 9 เขต มีส่งผู้สมัครกว่า 300 คน
ปีนี้จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวนทั้งสิ้น 1,330,000 คนเศษ และผู้มีสิทธิ์ที่เป็นนิวโหวตเตอร์ มี 78,735คน โดยเขต 10 (ฮอด อมก๋อย ดอยเต่า แม่แจ่มบางส่วน) มีนิวโหวตเตอร์ มากที่สุด จำนวน 10,780 คน และคาดปีนี้ จะมีผู้มาเลือกตั้งมากขึ้น 85% จากเดิม 83.33%
สำหรับผู้ที่จะมาให้กำลังใจผู้สมัคร ทาง กกต.เชียงใหม่ ได้จัดสถานที่ด้านหน้าหอประชุม ซึ่งเป็นลานอเนกประสงค์มีเก้าอี้และเต็นท์รองรับ ทั้งนี้สามารถเชียร์มอบดอกไม้ให้กำลังผู้สมัครได้แต่ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงหรือมหรสพ โดยภายหลังจากที่ได้รับหมายเลขสมัครแล้ว กองเชียร์ที่จะตั้งขบวนแห่ หรือทีมช่วยหาเสียง ทาง กกต.ได้มีข้อบังคับไว้ว่าจะต้องไม่เกิน 20 คน และต้องมีการลงทะเบียนที่ กกต.ประจำจังหวัดก่อน เพื่อให้ได้สิทธิเป็นผู้ช่วยหาเสียง
ส่วนการเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบรวมทั้งดูแลด้านการจราจร ทั้งสิ้น 13 นาย มั่นใจว่ามีความพร้อมและจะสามารถดูแลการรับสมัคร ส.ส. ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จนถึงวันปิดรับสมัคร
นายนพดล สุยะ ยืนยันมีความพร้อมทุกด้าน ทั้งบุคลากร และอุปกรณ์ที่จะใช้เพื่อให้การรับสมัคร ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และโปร่งใส สะดวก รวดเร็วในด้านการรับสมัคร รวมทั้งจะมีการประสานรถบรรทุกน้ำมาฉีดพ่นสร้างความชุ่มชื้นโดยรอบสถานที่การจัดการรับสมัครด้วย เพื่อลดค่าฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน ให้คุณภาพอากาศดีขึ้น พร้อมขอเชิญชวนให้ผู้มีสิทธิสมัคร ส.ส. เข้ามารับสมัครกันในวันที่ 3-7 เม.ย.66 นี้ และฝากเตือนถึงผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม หากเข้ามาสมัครหรือให้พรรคเสนอชื่อตนเองให้เป็นผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ ถือว่าเป็นการกระทำความผิด มีอัตราโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000 – 200,000 บาท หรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี หากดำรงตำแหน่ง ส.ส.จะต้องคืนค่าตอบแทนหรือเงินประจำตำแหน่งแก่สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด
สำหรับเขตเลือกตั้งในเชียงใหม่มีทั้งสิ้น 2,722 หน่วย แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นทั้งหมด 10 เขตเลือกตั้ง ใช้บุคลากรทั้งหมด กว่า 30,000 คน ตั้งแต่ กกต.เขตเลือกตั้ง, ผอ.เขตเลือกตั้ง, ผู้ช่วย กกต. เขตเลือกตั้ง, อนุกรรมการเขตเลือกตั้ง, กรรมการเขตเลือกตั้ง ซึ่งทางจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และประชาชนที่เข้ามาร่วมกันในการประจำจุดเลือกตั้งที่จะจัดขึ้น ซึ่งการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จะเริ่มในเวลา 08.00 – 17.00 น.
สำหรับรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้น ทางนายทะเบียนและนายทะเบียนท้องถิ่น จะเป็นผู้ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งภายในวันที่ 18 เม.ย. 66 และจะมีการส่งหนังสือถึงเจ้าบ้านเพื่อให้มีการตรวจสอบรายชื่อและรับทราบหน่วยเลือกตั้งที่ตนเองมีสิทธิลงคะแนน ภายในวันที่ 23 เม.ย.66 หลังจากลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเสร็จ จะมีการรายงานมาที่ศูนย์ประสานงานประจำอำเภอและรายงานมาที่ กกต.จังหวัด เพื่อรายงานผลในระบบเรียลไทม์ ตั้งแต่ช่วงเวลาปิดหีบ จนถึงการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง คาดว่าจะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการประมาณ 2-3 ช่วงโมงตั้งแต่เริ่มปิดหีบ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในถิ่นทุรกันดารบางจุดอาจจะเกิดปัญหาด้านสัญญาณการสื่อสาร อาจจะได้ทราบข้อมูลช้ากว่าหน่วยอื่น แต่ก็คงไม่เกิน 23.00 น. ของวันที่ลงคะแนนเสียง จากนั้นทาง กกต. จะมีการรายงานผลในเว็บไซต์ของ กกต. สำหรับคะแนนอย่างเป็นทางการภายใน 5 วัน
สำหรับผู้แจ้งเบาะแสการทุจริต จะได้รางวัลนำจับตั้งแต่ 1 แสนบาท ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท สำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การดำเนินคดี .-สำนักข่าวไทย