ศาลนักการเมืองสั่งจำคุก “ทักษิณ” อีก 5 ปีเอื้อประโยชน์ชินคอร์ป

ศาลฎีกา 30 ก.ค.-ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษาคดี “ทักษิณ” ใช้ตำแหน่งนายกฯ ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์ “ชินคอร์ป” สั่งจำคุก 5 ปี พร้อมออกหมายจับ


ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือนายทักษิณ ชินวัตร เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม โดยคดีดังกล่าวยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2541 ว่า ระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ถึงวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสองวาระติดต่อกัน กระทำความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) พ.ศ. 2542 มาตรา 100 การเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทชินคอร์ป ซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน และกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 , 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต มีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นในกิจการโทรคมนาคม

ระหว่างพิจารณา จำเลยหลบหนี ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ต่อมามีการประกาศใช้ พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาคดีได้ไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ศาลจึงยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่และอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยในวันนี้ (30 ก.ค.) โดยศาลวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 (2) ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ขณะจำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสองวาระ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำเลยยังคงเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ป ซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน อันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยให้บุคคลอื่นเป็นผู้ถือหุ้นแทนต่อเนื่องมาโดยตลอด เพียงแต่ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสองวาระติดต่อกัน ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาเดียว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว


ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามกฏหมาย ได้กำหนดนโยบายและสั่งการให้ประกาศพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ.2546 และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 เพื่อจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งได้รับสัมปทานจากรัฐ โดยคณะรัฐมนตรีที่จำเลยเป็นหัวหน้ารัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องลดอัตราภาษีและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 68 ) ลงวันที่ 28 มกราคม 2546 ให้ลดพิกัดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต สำหรับกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากอัตราร้อยละ 50 เหลือร้อยละ 10

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 เห็นชอบแนวทางให้คู่สัญญาเอกชนนำภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้ค่าสัมปทานที่คู่สัญญาภาคเอกชนจะต้องนำส่งให้คู่สัญญาภาครัฐได้ จำเลยดำเนินการดังกล่าวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทเอไอเอส ซึ่งได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.) และบริษัทดิจิตอลโฟน จำกัด ซึ่งได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย(กสท.) โดยทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทในเครือของบริษัทชินคอร์ป ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทำให้ทั้งสองบริษัทได้รับคืนเงินภาษีสรรพสามิตที่ชำระแล้ว โดยมีสิทธิ์นำไปหักออกจากค่าสัมปทาน เป็นผลให้ทศท.และกสท. ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลย จึงเป็นการมีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคม อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ศาลพิจารณาแล้วพิพากษาว่ามีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป โดยองค์คณะผู้พิพากษามติเสียงข้างมาก ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 5 ปี โดยให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลย ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 และคดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และวันนี้(30 ก.ค.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อบังคับตามคำพิพากษาแล้ว.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทหารกัมพูชาขุด “คูเลต” ลากยาว 650 เมตร

อุบลราชธานี 28 พ.ค.- เปิดภาพ! “คูเลต” ทหารกัมพูชาขุดลากยาว 650 เมตร จากต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว จุดปะทะทหารไทย เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา เพราะเป็นการละเมิด MOU 2543 เป็นครั้งที่ 2 แต่ทางทหารกัมพูชากับยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน โดยช่วงนี้อยู่ระหว่างการเจรจาของผู้นำในพื้นที่ทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายทหารไทยยืนยันว่าให้ทหารกัมพูชา ออกจากพื้นที่อ้างสิทธิพร้อมกัน-313 .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ย้ำกัมพูชาต้องยึด MOU 43 หลังละเมิดขุดคูเลต 2 รอบ

อุบลราชธานี 28 พ.ค.- มทภ.2 ย้ำกัมพูชาต้องยึด MOU 43 หลังละเมิดขุดคูเลต 2 รอบ ทหารไทยเข้าเจรจากลับยิงสวน ลั่นปกป้องอธิปไตยตามแผนที่ 1:50,000 เต็มที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึง เหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา กำลังพลของกองกำลังสุรนารีได้ลาดตระเวนและพบว่า ทหารกัมพูชาขุดคูเลต เช่นเดียวกับเนิน 745 ช่องบก ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา แต่ทางกัมพูชา ยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน อย่างที่เป็นข่าว สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อจากนี้ ผู้บังคับบัญชาในระดับพื้นที่กำลังพูดคุยเจรจา “ยืนยันว่าทหารไทยทำหน้าที่รักษาอธิปไตยตามแผนที่ 1:50,000 ซึ่งในพื้นที่ทับซ้อนของทั้ง 2 ประเทศ จะมีการออกลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายล้ำเข้ามา ซึ่งทุกฝ่ายต้องยึดตาม MOU 2543”.-313.-สำนักข่าวไทย

ปะทะทหารกัมพูชา

ทบ.แจงเหตุปะทะทหารกัมพูชาบริเวณช่องบก คลี่คลายแล้ว

กองทัพบก 28 พ.ค.-ทบ.แจงเหตุปะทะทหารกัมพูชาบริเวณชายแดนช่องบก จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว อยู่ระหว่างรอการเจรจา พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05.30 น. โดย หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชา ได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ต่อมาเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่ […]

มติเอกฉันท์ สภาอนุมัติ “พ.ร.ก.ไซเบอร์-สินทรัพย์ดิจิทัล”

รัฐสภา 28 พ.ค.- สภาเอกฉันท์อนุมัติ “พ.ร.ก.ไซเบอร์-สินทรัพย์ดิจิทัล” ให้ธนาคารร่วมชดใช้ค่าเสียหายจาก “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” เร่งคืนเงินผู้เสียหาย ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ วาระการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ซึ่งแบ่งเวลาในการอภิปรายฝ่ายละ 2 ชั่วโมง รวม 4 ชั่วโมง และจะเป็นการรวมพิจารณา และแยกลงมติทีละฉบับ โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอหลักการว่า เนื่องจากปัจจุบัน มี พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญกรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ยังมีมาตรการบังคับทางกฎหมายที่ยังไม่เพียงพอ กับรูปแบบอาชญากรรม กลุ่มมิจฉาชีพ จึงต้องแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัย เช่น การเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหาย, การอาญัติบัญชีม้า, การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ และมาตรการการโอนเงินผิดกฎหมาย ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล จากนั้น ได้เปิดโอกาสให้ สส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยนายจุติ […]

ข่าวแนะนำ

ทบ.แถลงการณ์ “กองทัพบกไทย-กัมพูชา” ยึด 4 ข้อแก้ปัญหาชายแดน

กองทัพบก 30 พ.ค.-ทบ.แถลงการณ์ “กองทัพบกไทย-กัมพูชา” ยึด 4 ข้อแก้ปัญหาพิพาทชายแดน ยันทหาร 2 ฝ่ายถอนกำลังจากจุดปะทะช่องบกแล้ว วอนประชาชนรับฟังข้อมูลสื่อหลัก ขอเชื่อมั่นทหารปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว กองทัพบก ออกหนังสือแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย – ผบ.ทบ.กัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 1.ผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการให้มีการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนการพูดคุยเจรจาด้วยสันติวิธีในการหาข้อตกลงร่วมกัน และขอยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตยหรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ 2.กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้ตกลงที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่ ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นพ้องในการใช้กลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความ สงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน หรือ Reqional Border Committee (RBC) เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยที่อาจค้างคา และส่งเสริมกลไก JBC ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น […]

ทบ. จ่อออกแถลงการณ์ ห้ามทหารกัมพูชาเข้าใช้พื้นที่เนิน 745

กองทัพบก 30 พ.ค.-ทบ. เตรียมออกแถลงการณ์จุดปะทะช่องบก ไม่ให้ทหารกัมพูชาเข้ามาใช้พื้นที่เนิน 745 – ต้นสัตบรรณ ถึงสามแยกลาว เล็งพูดคุยจัดชุดลาดตระเวนร่วม ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พิธีไถ่ชีวิตกระบือ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระราชินี 3 มิ.ย. โดยในวันนี้ กองทัพบกเตรียมออกแถลงการณ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อย่างเป็นทางการ ภายหลังวานนี้ (29 พ.ค.) พล.อ.พนา ได้หารือกับ พลเอก เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา และคณะฝ่ายกัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน กรณีเกิดเหตุปะทะช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี จนได้ข้อสรุป 3 ข้อ 1.กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทย และกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ 2.ปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้เคลื่อนออกจากพื้นที่แล้ว คลี่คลายความตึงเครียด […]

“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ ข่าว สส.ดังนครศรีฯ ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา

กทม. 30 พ.ค.-“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ-ไม่รู้ ข่าว สส.ดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมากลางงานบวช ยืนยันไม่เป็นความจริง นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าว สส.ชื่อดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา กลางงานบวชลูกชายของนายก อบต. ต่อหน้าชาวบ้านนับร้อยคน โดยนายชัยชนะ ได้ปฏิเสธข่าวบอก ไม่รู้ ไม่ทราบข่าว พร้อมบอกผู้สื่อข่าวว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อถามว่า เป็นคนรู้จัก หรือคนใกล้ชิดหรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวเลย ก่อนย้ำอีกครั้งว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ตอบว่า “ครับผม” เมื่อถามว่า ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่เลยใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนลงพื้นที่วันละหลายงาน และเมื่อถามทิ้งท้ายว่า ไม่มีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ยืนยันว่า “ไม่มี“.-315.-สำนักข่าวไทย

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้มาตรการภาษี ‘ทรัมป์’ ยังบังคับใช้

วอชิงตัน 30 พ.ค. – ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางมีคำสั่งในวันพฤหัสบดี ให้มาตรการภาษีตอบโต้ที่ครอบคลุมมากที่สุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมามีผลบังคับใช้อีกครั้งเป็นการชั่วคราว เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ ตัดสินว่านายทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเรียกเก็บภาษีเหล่านั้นและสั่งให้ระงับมาตรการภาษีดังกล่าวทันที ศาลอุทธรณ์กลางแห่งสหรัฐอเมริกา ประจำเขตวอชิงตัน ระบุว่ากำลังระงับคำตัดสินของศาลชั้นต้นไว้ชั่วคราว เพื่อพิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาล และมีคำสั่งให้ฝ่ายโจทก์ที่ยื่นฟ้องหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีในคดีนี้ยื่นเอกสารตอบกลับภายในวันที่ 5 มิถุนายน และให้ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกฟ้องร้องหรือเป็นผู้กำหนดภาษี ให้ส่งเอกสารตอบกลับภายในวันที่ 9 มิถุนายน นายทรัมป์เขียนแถลงการณ์ที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า เขาหวังว่าศาลฎีกาของสหรัฐจะ ‘กลับคำตัดสินอันเลวร้ายที่คุกคามประเทศ’ ของศาลการค้าระหว่างประเทศ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตุลาการของรัฐบาลว่า ‘เป็นปฏิปักษ์ต่ออเมริกา’ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา คณะผู้พิพากษา 3 คนของศาลการค้าระหว่างประเทศ ตัดสินว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจแก่รัฐสภา ไม่ใช่ประธานาธิบดี ในการเรียกเก็บภาษีและอากรศุลกากร และประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตโดยการอ้างใช้กฎหมายว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งหมายเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ.-813.-สำนักข่าวไทย