กทม. 16 มี.ค.-นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียนของสำนักข่าว Bloomberg ย้ำ 3 แนวทางสำคัญ ยั่งยืน-เข้มแข็ง-ครอบคลุม เพื่อสร้างเศรษฐกิจ และนำความเติบโตกลับมา ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในการก้าวสู่ยุคหลังโควิด-19
เมื่อเวลาประมาณ 16.55 น. ตามเวลาประเทศไทย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียนของสำนักข่าว Bloomberg ครั้งที่ 7 (7th Bloomberg ASEAN Business Summit) ผ่านบันทึกเทปวีดิทัศน์ โดยมีบุคคลสำคัญร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในงาน อาทิ นายวิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ นายชาน ชุน ซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ และนางศรี มูลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย เป็นต้น
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้รับเชิญให้มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ร่วมกับผู้นำรัฐบาลและผู้บริหารภาคธุรกิจระดับโลก ในหัวข้อ “การนำความเติบโตกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด” (Bringing growth back to pre-pandemic levels) เป็นเป้าหมายหลักของไทย และทุกประเทศในโลก ที่ต้องหันกลับมาทบทวน แสวงหาจุดแข็ง และก้าวไปข้างหน้า ฟื้นตัวอย่างมั่นคง โดยในปี 2564 เศรษฐกิจของไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 3.5 – 4.5 จากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการส่งออก และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสำคัญ 3 แนวทาง ได้แก่ 1. ยั่งยืน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุล โดยมีโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และรับผิดชอบต่อสังคม
- เข้มแข็ง ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการพัฒนาภาคเศรษฐกิจที่เป็นจุดแข็งของประเทศ รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการ MSMEs ในยุคหลังโควิด ตลอดจนการเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น หลากหลาย และมั่นคง
- ครอบคลุม สร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทย และรับมือกับความท้าทายในอนาคต
ในระดับภูมิภาค นายรัฐมนตรีกล่าวว่า อาเซียนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุน คาดว่า เศรษฐกิจของอาเซียนจะเติบโตร้อยละ 5.2 ในปีนี้ และหากการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนสามารถกลับมาสู่ระดับก่อนโควิดได้ คาดว่า GDP ของอาเซียนจะเลื่อนจากอันดับ 5 ในปัจจุบัน ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ภายในปี 2573 นายกรัฐมนตรีเชื่อว่า การบูรณาการทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มพลวัตทางเศรษฐกิจให้กับอาเซียน และสนับสนุนการเติบโตที่ครอบคลุมและกว้างขวาง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นควรเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนวาระการเติบโตที่ยั่งยืนและเข้มแข็งของอาเซียน การเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับเอกชน และการสนับสนุนของประเทศคู่เจรจาและภาคีภายนอกของอาเซียน รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากข้อริเริ่มของอาเซียนด้านการเงินที่ยั่งยืน นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ภาคธุรกิจอาเซียนมีความพร้อม มีศักยภาพ และความสามารถในการปรับตัวและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในยุคหลังโควิด-19 โดยมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาระบบนิเวศที่เกื้อกูลต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เข้มแข็ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำความเจริญเติบโตกลับมาสู่ภูมิภาค ซึ่งไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนและส่งเสริมการรวมตัวของภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อให้อาเซียนเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก และเพื่อประโยชน์ของประชาชนของเราสืบต่อไป
ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปค 2022 ของไทย ภายใต้หัวข้อหลัก “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” ไทยกำลังผลักดัน การรวมตัวทางเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงความท้าทายใหม่ ๆ จากบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง การเร่งฟื้นคืนความเชื่อมโยงในภูมิภาคที่ปลอดภัยและไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการทำให้เศรษฐกิจหลังโควิด-19 เติบโตอย่างครอบคลุม ยั่งยืน และสมดุล.-สำนักข่าวไทย