ถกญัตติอำนาจรัฐสภา หลังไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

รัฐสภา 29 มี.ค.-สภาฯ ถกญัตติอำนาจรัฐสภา หลังประธานรัฐสภา ไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเพื่อไทย-ก้าวไกล เข้าวาระ เพราะขัดคำวินิจฉัยศาล “พริษฐ์” มอง ส่งศาล รธน.ชี้ขาด เหมือนยื่นดาบให้คนไม่เห็นด้วย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เรื่อง ขอเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 31 ให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2)  นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา แจ้งต่อที่ประชุมวิปสามฝ่ายตกลงกันว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง แบ่งเป็น ฝ่ายค้าน 2 ชั่วโมง รัฐบาล 2 ชั่วโมง และสมาชิกวุฒิสภา 2 ชั่วโมง 

นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย  กล่าวว่า ตนเองและคณะ 123 คน ได้ใช้สิทธิตามมาตรา 256 (1) และ (2) รัฐธรรมนูญปี 2560 เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยจัดทำเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ …) พ.ศ … โดยมีหลักการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งประธานรัฐสภา ไม่ได้บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระ เห็นว่าขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564


นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า พรรคก้าวไกลสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนโดยเร็วที่สุด ยอมรับว่า รู้สึกหนักใจภายใต้ความพยายามหลายฝ่ายที่จะบรรลุเป้าหมาย แต่รัฐสภาพยายามส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยทุกครั้งที่รัฐสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยเฉพาะการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เหมือนเป็นการยื่นดาบให้คณะตุลาการ 9 คน ที่แต่งตั้งโดยกลุ่มคนที่ไม่ได้อยากเห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และให้กลุ่มคนดังกล่าวมีอำนาจฟันธงชี้ขาดว่ารัฐสภาแห่งนี้ทำอะไรได้หรือไม่ได้

“ที่ผ่านมาเป็นเหมือนกล่องสุ่ม ที่ไม่เป็นคุณต่อกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สาเหตุที่ทำให้เราต้องมาพิจารณาญัตติดังกล่าว เนื่องจากประธานรัฐสภาไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล โดยอ้างว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/ 2564 ยืนยันว่าการตัดสินใจของประธานรัฐสภาไม่ถูกต้อง  ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ร่าง ของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ซึ่งมีเหตุผลสอดคล้องกันจะขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร”นายพริษฐ์ กล่าว

นายพริษฐ์  กล่าวเปรียบเทียบเนื้อหาสาระของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับซึ่งคล้ายกัน มีการเสนอให้แก้ไขมาตรา 256 และหมวด 15/1 ทำให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกบรรจุและพิจารณาเห็นชอบโดยรัฐสภา ในมาตรา 256 (8) แห่งรัฐธรรมนูญปัจจุบันกำหนดชัดเจนว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากผ่านความเห็นชอบ 3 วาระของรัฐสภา จำเป็นจะต้องจัดทำประชามติ ซึ่งหากผ่านความเห็นชอบของประชาชนจะมี ส.ส.ร.เข้ามาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  ซึ่งจะต้องมีการทำประชามติถามความเห็นจากประชาชนอีกครั้งหนึ่ง จึงขอตั้งคำถามว่ากระบวนการเหล่านี้ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่


เมื่อดูคำวินิจฉัยศาลธรรมนูญที่ 4/2564 เขียนไว้ว่ารัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับฉบับใหม่อีกครั้ง  ซึ่งหมายถึงการทำประชามติ 2 ครั้ง หนึ่งครั้งก่อนที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และอีกหนึ่งครั้งหลังจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

“ตนเองได้รับข้อมูลมาว่า เหตุผลที่ประธานรัฐสภาไม่บรรจุเรื่องดังกล่าวเข้าในระเบียบวาระเพราะตีความคำว่า “เสียก่อน” ต่างออกไป โดยตีความว่า “เสียก่อน” คือการทำประชามติเสียก่อนมีการเสนอร่างแก้ไขฉบับใดๆ เข้าสู่รัฐสภา จึงตัดสินใจไม่นำเรื่องดังกล่าวเท่าที่ประชุมรัฐสภา จนกว่าจะมีการทำประชามติ เพิ่มอีกหนึ่งครั้ง ก่อนเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆ เข้าสู่รัฐสภา หมายความว่าโร้ดแมปในการเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องมีการจัดทำประชามติถึง 3 ครั้ง”นายพริษฐ์ กล่าว

นายพริษฐ์  กล่าวว่า ปัญหานี้ให้ไปดูคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน เพื่อเข้าใจเจตนา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ประธานรัฐสภายังไม่ได้ทำ เนื่องจากตัวแทนคณะกรรมการประสานงานเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีมติเสียงข้างมากให้ประธานรัฐสภาไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล  ศึกษาเพียงแค่คำวินิจฉัยกลาง ไม่ได้ศึกษาคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ตามคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมาก 5 ใน 9 คนวินิจฉัยว่าประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในระเบียบวาระได้ จึงอนุมานได้ว่าคำวินิจฉัยที่ 4/2564  ประธานรัฐสภาสามารถบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ และหากวันนี้(29 มี.ค.) รัฐสภามีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยมาแล้วเมื่อปี 2564 และยังปฎิบัติหน้าที่อยู่ในตอนนี้ ก็จะยังวินิจฉัยเช่นเดิม

นายพริษฐ์ เห็นว่าการไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ระเบียบวาระเป็นการตัดสินใจที่สวนทางกับคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก  เชื่อว่าประธานรัฐสภาทราบดีว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจใช้อำนาจปฏิเสธไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจาก สส.ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นเรื่องใหญ่ จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เมื่อไม่บรรจุระเบียบวาระต้องมาพิสูจน์และอธิบายให้กระจ่างต่อสังคม

“หรือแม้วันนี้จะตัดสินใจทบทวน และบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเข้าสู่วาระการประชุม สมาชิกอาจจะเห็นแย้งและเสนอญัตติให้รัฐสภาเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญอยู่ดี   ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นการคาดการณ์ปรากฏการณ์แบบนั้น ไม่ควรเป็นเหตุผลให้ประมุขของสภาฯ ไม่ทำหน้าที่อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย  หวังว่าประธานรัฐสภาจะทบทวนการตัดสินใจและบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม เพื่อผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนโดยเร็วที่สุด”นายพริษฐ์ กล่าว.-317.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

อยุธยาอ่วม! มัสยิด-บ้านริมน้ำเจ้าพระยา ถูกน้ำท่วมสูง

อยุธยา 22 ก.ย. – จ.พระนครศรีอยุธยา อ่วม! น้ำท่วมขยายวงกว้างครอบคลุม 8 อำเภอ ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะมัสยิด ระดับน้ำเพิ่มสูงต่อเนื่อง ขณะที่เขื่อนป่าสักชลฯ เตรียมปรับเพิ่มการระบายน้ำอีกตั้งแต่ 24 ก.ย.นี้ เตือนน้ำล้นตลิ่งพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อน สถานการณ์น้ำท่วมใน จ.พระนครศรีอยุธยา ขยายวงกว้างครอบคลุม 8 อำเภอ 103 ตำบล 626 หมู่บ้าน รวมกว่า 31,227 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบ โดยพื้นที่ ต.ภูเขาทอง อ.พระนครศรีอยุธยา ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะมัสยิดดารุซซุนนะห์ ซึ่งอยู่นอกคันกั้นน้ำ ถูกน้ำเอ่อท่วมและระดับน้ำยังเพิ่มสูงต่อเนื่อง ชาวบ้านสัญจรลำบาก บางจุดต้องใช้เรือ ต้องเดินลุยน้ำเข้า-ออกบ้านและมัสยิด ขณะที่องค์การบริหารส่วนตำบลภูเขาทอง เร่งนำไม้มาทำสะพานชั่วคราว ให้ประชาชนเดินเข้ามัสยิดเพื่อประกอบพิธีละหมาดได้ พร้อมเร่งตัดต้นไม้และกำจัดวัชพืช ให้เรือสัญจรได้สะดวก และเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำใกล้ชิด เนื่องจากระดับน้ำเจ้าพระยายังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง นายธีรยุทร อายุ 43 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ เล่าว่า บ้านถูกน้ำท่วมเกือบถึงเอว ลำบากมาก […]

ร่างแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จแล้ว นายกฯ ลุกแจงเอง-ไร้องครักษ์

พรรคภูมิใจไทย 22 ก.ย.- ร่างคำแถลงนโยบายรัฐบาล “อนุทิน” เสร็จแล้ว มี 8 หน้า นายกฯ ลุกขึ้นชี้แจงเอง-ไม่มีองครักษ์ หลังเพื่อไทยจัด 4 ขุนพลเตรียมชำแหละ แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมร่างคำแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า ขณะนี้ร่างคำแถลงนโยบายรัฐบาลเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีจำนวนทั้งหมด 8 หน้า โดยนโยบายทั้งหมดจะเน้น 4 ด้าน ประกอบด้วย เศรษฐกิจปากท้อง ความมั่นคงและชายแดน ปัญหาสังคม ภัยธรรมชาติและการเยียวยา โดยนโยบายด้านเศรษฐกิจ จะเน้นเรื่องการลดค่าครองชีพแก่ประชาชน เช่น นโยบายคนละครึ่ง ซึ่งขณะนี้เรื่องระบบการใช้-วงเงินอยู่ระหว่างการพูดคุย การลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น ลดค่าทางด่วน รวมถึงอาจจะมีการปรับนโยบายที่พรรคภูมิใจไทยเคยหาเสียงไว้ เช่น โซลาร์รูฟท็อป เป็นโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ เพื่อให้เข้ากับการทำงานของอายุรัฐบาล 4 เดือน นอกจากนี้จะมีการหยิบนโยบายของพรรคเพื่อไทย มา เช่น หวยเกษียณ โดยอาจจะมีการปรับรูปแบบ ส่วนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย […]

“มทภ.2” เผยเขมรไม่มีท่าทีถอนอาวุธหนัก ลั่นเลิกคุยหากยังยั่วยุ

22 ก.ย.- “มทภ.2” ขอบคุณนายกฯ ไฟเขียวแก้ปัญหาชายแดน เผยเขมรไม่มีท่าทีถอนอาวุธหนัก มีแต่เพิ่มกำลัง ลั่นเลิกคุยหากยังยั่วยุ บินโดรน-ฝังทุ่นระเบิด ขณะที่กองทัพภาคที่ 1 ถก RBC สัปดาห์นี้ ส่วนด้านจันทบุรี – ตราด ยังไม่กำหนดวัน ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า การนำผลประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) เมื่อ 10 ก.ย.68 ไปสู่การปฏิบัติ โดยที่ประชุมกำหนด ให้มีการถอนอาวุธหนัก และยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดน กลับสู่ที่ตั้งปกติ โดยฝ่ายเลขานุการจีบีซี และอาร์บีซี จะหารือกันภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนดำเนินการ และเริ่มเคลื่อนย้ายกำลังตามกรอบเวลาที่กำหนด โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) มาร่วมสังเกตการณ์ ล่าสุด พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยความคืบหน้าการนัดประชุมคณะกรรมชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) จัดทำแผนดำเนินการถอนอาวุธหนัก และยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนว่า ฝ่ายกัมพูชายังไม่มีท่าทีที่จะดำเนินการ มีแต่จะเพิ่มกำลังในพื้นที่ ซึ่งยังไม่ชัดว่าจะสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ และยังไม่ได้มีการกำหนดการประชุมRBC คาดว่าจะเป็นต้นเดือน ต.ค.นี้ […]

“อนุทิน” ขนทีมเศรษฐกิจถกสมาคมธนาคารไทย

สมาคมธนาคารไทย 22 ก.ย.- “อนุทิน” ขนทีมเศรษฐกิจถกสมาคมธนาคารไทย ชี้เป็นหัวใจระบบเศรษฐกิจ บอกเคยเป็น Banker มาก่อน ระบุความเห็นเอกชนเป็นประโยชน์ภายใต้เป้าหมายเดียวกันคือดันไทยก้าวสู้ศูนย์กลางอาเซียน-ภูมิภาค นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมหารือกับสมาคมธนาคารไทย โดยมีนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ให้การต้อนรับ จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการหารือในหัวข้อ “ฝ่าวิกฤต พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย ด้วยพลวัตใหม่” ว่า วันนี้ตนและทีมงานเศรษฐกิจต้องขอบคุณกับการต้อนรับที่อบอุ่น ตั้งใจมาพบกับทุกท่านหลังจากที่มีความชัดเจน ในการจัดตั้งรัฐบาล และตนได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่ง ในการคัดสรรบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มาบริหารงานด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลของตน ซึ่งพวกท่านน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว และวันนี้มีความจำเป็นต้องพบปะ สถาบันหลัก ทางเศรษฐกิจโดยสัปดาห์ที่แล้วได้เดินทางไปที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย เพราะตนก็ออกจากวงการนี้ไปนาน เมื่อไปถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็ได้พบกับผู้ประกอบการ ที่เป็นมืออาชีพ […]