fbpx

สหรัฐขอบคุณไทยช่วยดูผู้อพยพเมียนมา

กระทรวงมหาดไทย 27 ก.ย.- “อนุทิน” เผย สหรัฐฯ ยินดีไทยช่วยเหลือผู้อพยพเมียนมา ไม่ได้ขอให้รับเพิ่ม เข้าใจสถานการณ์การเมืองไทย แจงพรรคอันดับหนึ่งไม่ได้เป็นรัฐบาลเคยเกิดขึ้นแล้ว ไม่ติดใจ


นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์หลังนาย รอเบิร์ต เอฟ โกเด็ก เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหรัฐอเมริกาเข้าพบว่า ท่านทูตให้ความชื่นชมแก่รัฐบาลไทย ที่ให้การดูแลผู้อพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา จำนวนกว่า 70,000 คน ด้วยความมีมนุษยธรรม และทางการสหรัฐฯมีความพร้อมที่จะรับ ผู้อพยพเหล่านี้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่สหรัฐอเมริกาต่อไป ซึ่งก็ถือว่าเป็นการร่วมมือกันด้วยดี

“ขั้นตอนต่อไปคือ ต้องคัดกรองการที่จะนำผู้พยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ว่าควรมีคุณสมบัติอย่างไร มีครอบครัวอยู่ไหม มีการศึกษาที่ดีไหม เขาก็มาขอ ให้กระทรวงมหาดไทยให้ความร่วมมือ ในด้านข้อมูลต่างๆ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว


ส่วนประเด็นที่ขอให้รับผู้อพยพเพิ่มเติม นาย อนุทิน กล่าวว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ขอให้รับผู้อพยพเพิ่มเติม เพราะผู้อพยพจำนวนเพิ่มขึ้นด้วยตัวเองอยู่แล้ว ทางการสหรัฐฯ มีโปแกรมให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว

เมื่อถามถึงความเห็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์การเมืองไทย นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าใจบริบทการเมืองไทยเป็นอย่างดี ไม่ได้ติดใจหรือขัดข้องอะไร “เราได้ยืนยันกับท่านทูตไปว่า รัฐบาลนี้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง เราขอให้สหรัฐฯนึกถึงเราในฐานะนี้ด้วย ไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นผลพวงของการรัฐประหาร ส่วนการตั้งรัฐบาล เมื่อพรรคไหนได้เสียงข้างมากเด็ดขาด จึงตั้งรัฐบาล รูปแบบนี้เป็นเส้นทางการเมือง แต่ละพรรคการเมืองเลือกเดินไป  การที่พรรคอันดับ 1 ไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น ครั้งที่แล้วและครั้งก่อน ๆ ก็เคยเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นกลไกทางการเมืองที่เป็นไปตามนั้น ทางสหรัฐฯไม่ได้ติดใจอะไร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบศพโบลท์หญิงวัย 47 ในป่าหญ้าริมทาง คาดถูกฆ่าชิงรถ

โบลท์หญิงวัย 47 ปี หายตัวจากบ้านพักย่านดินแดง 9 วัน ล่าสุดพบเป็นศพในป่าหญ้าริมถนนสายนครชัยศรี-ห้วยพลู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ส่วนรถยนต์โผล่ที่ จ.ภูเก็ต คาดถูกคนร้ายฆ่าชิงรถ

pagers on display

ทำไมยังมีการใช้ “เพจเจอร์” ในยุคสมาร์ทโฟน

ลอนดอน 19 ก.ย.- เพจเจอร์ หรือวิทยุติดตามตัวเป็นอุปกรณ์การสื่อสารยอดนิยมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ที่ต้องหลีกทางให้แก่โทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากเป็นการสื่อสารทางเดียว แต่ยังคงมีการใช้งานในบางกลุ่ม รวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เพจเจอร์ระเบิดพร้อมกันหลายพันเครื่องทั่วเลบานอนเมื่อวันที่ 17 กันยายน แหล่งข่าวเผยว่า ฮิซบอลเลาะห์ใช้เพจเจอร์ เนื่องจากเป็นช่องทางสื่อสารเทคโนโลยีต่ำ ส่งข้อความผ่านสัญญาณวิทยุ จึงตรวจจับสัญญาณและตำแหน่งได้ยากกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ส่งสัญญาณไปยังเสาส่งที่อยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งไม่มีเทคโนโลยีระบุพิกัดบนพื้นโลกอย่างจีพีเอสด้วย อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ (FBI) ของสหรัฐเผยว่า ในอดีตแก๊งอาชญากรรมโดยเฉพาะแก๊งค้ายาเสพติดในสหรัฐเคยนิยมใช้เพจเจอร์ แต่ขณะนี้หันมาใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินราคาถูกที่สามารถเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขได้อย่างง่ายดาย ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามแกะรอยได้ยาก อย่างไรก็ดี  ศัลยแพทย์โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักรเผยว่า เพจเจอร์เป็นอุปกรณ์ที่แพทย์และพยาบาลสังกัดสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติหรือเอ็นเอชเอส (NHS) ต้องพกติดตัวอยู่เสมอ เพื่อรับแจ้งข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นช่องทางที่ถูกที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแจ้งข่าวทางเดียวกับคนจำนวนมาก เพจเจอร์หลายรุ่นสามารถส่งเสียงไซเรนและมีข้อความเสียงแจ้งให้ทีมแพทย์ไปรวมตัวที่ห้องฉุกเฉินได้ทันที ข้อมูลล่าสุดในปี 2562 ระบุว่า เอ็นเอชเอสใช้เพจเจอร์ประมาณ 130,000 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 10 ของที่ใช้ทั่วโลก คอกนิทีฟมาร์เก็ตรีเสิร์ช  (Cognitive Market Research) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยคาดการณ์ว่า ตลาดเพจเจอร์จะเติบโตร้อยละ 5.9 ต่อปี จากปี 2566 ถึงปี 2573 […]

ข่าวแนะนำ

นายกฯ ขอบคุณทุกหน่วยงานระดมช่วยผู้ประสบภัย

“นายกฯ แพทองธาร” ขอบคุณทุกหน่วยงานระดมช่วยผู้ประสบอุทกภัย หวัง ศปช.รับมือ-ช่วยเหลือรวดเร็วทันท่วงที รวมถึงการเยียวยาหลังจากนี้

ฟื้นฟูชายแดนแม่สาย-เร่งกู้ตลาดสายลมจอย

เจ้าหน้าที่เร่งฟื้นฟูชุมชนชายแดนแม่สายที่ถูกน้ำท่วมและจมโคลนมานาน 10 วัน รวมทั้งเร่งกู้ตลาดสายลมจอยแหล่งจำหน่ายสินค้าชายแดนที่เสียหายอย่างหนัก

ฆ่ารัดคอขับโบลท์

รวบ “ไอ้แม็ก” ฆ่ารัดคอหญิงขับโบลท์ พบเคยถูกจับคดีโหด

จับแล้ว “ไอ้แม็ก” เดนคุก ฆ่ารัดคอหญิงขับโบลท์ ทิ้งร่างอำพราง ริมถนนห้วยพลู จ.นครปฐม ก่อนเอารถไปขาย สอบประวัติ พบเพิ่งพ้นโทษ คดีล่ามโซ่ล่วงละเมิดเด็กวัย 13 ปี นาน 1 สัปดาห์ เมื่อปี 2553