ศาลฎีกาฯ พิพากษายืนยกฟ้อง “สุเทพ” คดีฮั้วประมูลสร้างโรงพัก

ศาลฎีกาฯ 22 ส.ค.- ศาลฎีกาฯ พิพากษายืนยกฟ้อง “สุเทพ” และพวก คดีฮั้วประมูลก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง มูลค่าความเสียหาย 5,848 ล้านบาท


ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อม.อธ.11/2565 ที่ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันกระทำผิดต่อหน้าที่ราชการในการจัดจ้างโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ หรือ “โรงพักทดเเทน” และโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก หรือแฟลตตำรวจ 396 แห่ง ซึ่งสังคมรู้จักกันในชื่อ “คดีฮั้วประมูลก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง” มูลค่าความเสียหาย 5,848 ล้านบาท

คดีนี้เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2565 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำตัดสินชั้นต้นไปแล้ว โดยพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คน แต่ต่อมา ป.ป.ช.ยื่นอุทธรณ์คดีต่อ และศาลนัดอ่านคำพิพากษาในวันนี้ ซึ่งนายสุเทพ เดินทางมาตามนัดฟังคำพิพากษา พร้อมนายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ รวมถึงจำเลยคนอื่นๆ


ล่าสุด องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์มีคําพิพากษาว่า ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า จําเลยที่ 1 กระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องพิจารณาว่ามติคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ได้อนุมัติหลักการซึ่งรวมถึงวิธีการจัดจ้างโดยให้กระจายการจัดจ้างไปยังหน่วยงานในสังกัดในภูมิภาคด้วย อันมีผลผูกพันให้จําเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ องค์คณะฯ เห็นว่า ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2548 กําหนดให้หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องกําหนดประเด็นที่ประสงค์จะให้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ความเห็นชอบหรือมีมติในเรื่องใดให้ชัดเจน ถ้าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ความเห็นชอบหรือมีมติในเรื่องที่เสนอ ให้ถือว่ามติคณะรัฐมนตรีมีผลผูกพันเฉพาะหลักการแห่งประเด็นที่เสนอ เว้นแต่มติของคณะรัฐมนตรีจะระบุไว้ชัดเจนถึงรายละเอียดที่อนุมัติ แสดงว่ารายละเอียดข้อใดที่มติคณะรัฐมนตรีไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนย่อมไม่ถือว่ามีผลผูกพัน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากมติคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 แล้ว ไม่มีข้อความระบุอย่างชัดเจนถึงรายละเอียดในเรื่องวิธีการจัดซื้อจัดจ้างว่าจะต้องดําเนินการโดยแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค ซึ่งได้ความจากนาย ส. และนาย ธ. อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เบิกความว่ามติคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 7/2552 ไม่รวมการจัดซื้อจัดจ้าง พยานทั้งสองปากมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนข้อความในมติคณะรัฐมนตรีตอนถัดไปที่ว่า “…โดยให้ดําเนินการตามความเห็นของสํานักงบประมาณ …” นั้น ย่อมหมายถึงความเห็นที่อยู่ในหน้าที่ของสํานักงบประมาณเท่านั้น นอกจากนั้น สํานักงานตํารวจแห่งชาติมิได้ขออนุมัติในเรื่องวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง และเลือกวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเอง

กรณีนี้รับฟังได้ว่า มติคณะรัฐมนตรีในการประชุมครั้งที่ 7/2552 เป็นการอนุมัติเฉพาะประเด็นเรื่องงบประมาณ ไม่รวมถึงวิธีการจัดจ้าง จําเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างดังที่โจทก์ฟ้อง และก็ไม่ปรากฏข้อพิรุธผิดปกติวิสัยส่อแสดงว่าจําเลยที่ 1 ได้เข้าไปมีส่วนริเริ่มหรือใช้ให้เจ้าพนักงานเสนอความเห็นเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการจัดซื้อจัดจ้างไม่ว่าแบบใดต่างก็เลือกดําเนินการได้และมีขั้นตอนประกาศเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ประกอบการทั่วไปได้มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมได้ ไม่อาจฟังดังที่โจทก์อ้างว่าการรวมการจัดจ้างไว้ที่ส่วนกลางจะทําให้ไม่มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเสมอไป ส่วนที่คณะกรรมการกําหนดราคากลางชุดใหม่ได้กําหนดราคากลางวงเงินจํานวน 6,388 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคากลางเดิมที่กําหนดในจำนวนประมาณ 6,100 ล้านบาท ก็ดีหรือผู้รับจ้างไม่สามารถดําเนนิการก่อสร้างตามโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายได้ก็ดี ล้วนแต่ไม่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของจําเลยที่ 1 อีกทั้งจําเลยที่ 1 ไม่ได้เข้าไปรับรู้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการกระทําของจําเลยที่ 1 ดังนั้น การกระทําของจําเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทําความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต่อไปว่า จําเลยที่ 2 กระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าเมื่อมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมครั้งที่ 7/2552 เป็นการอนุมัติเฉพาะประเด็นเรื่องงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง จึงเป็นหน้าที่ของจําเลยที่ 2 ที่จะต้องดําเนินการไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 จึงถือไม่ได้ว่าจําเลยที่ 2 ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ การขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเกิดจากข้อทักท้วงของผู้ปฏิบัติงานเองที่เสนอมาตามขั้นตอนปกติตั้งแต่ก่อนที่จําเลยที่ 2 จะมีการมอบหมายงานแล้ว จําเลยที่ 2 มิได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างมาตั้งแต่แรก และข้อทักท้วงของเจ้าหน้าที่พัสดุก็สอดคล้องกับที่กรมบัญชีกลางเคยมีหนังสือตอบข้อหารือ กรณีจึงมีเหตุผลและข้อมูลที่จําเลยที่ 2 จะเสนอให้จําเลยที่ 1 ให้ความเห็นชอบเช่นเดิม นอกจากนั้น แม้จําเลยที่ 1 จะเห็นชอบแล้ว ก็ยังต้องมีขั้นตอนการประกาศประกวดราคาต่อไป ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้มีผู้เสนอราคาแข่งขันกัน 5 ราย และแข่งขันสู้ราคากันถึง 73 ครั้ง ฉะนั้นการที่จําเลยที่ 2 เสนอขอเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเพียงอย่างเดียว จึงยังไม่ถึงขั้นใกล้ชิดต่อผลสําเร็จในการกําหนดตัวผู้รับจ้างล่วงหน้าหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่นได้ เมื่อจําเลยที่ 2 มิได้กระทําการอื่นใดนอกเหนือจากไปนี้อีก พยานหลักฐานจากการไต่สวนจึงไม่ปรากฏว่า จําเลยที่ 2 มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือเอื้อประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดโดยมิชอบ


ส่วนที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คณะกรรมการกําหนดราคากลางชุดใหม่กําหนดราคากลางวงเงินสูงกว่าราคากลางเดิมนั้น ก็เป็นการพิจารณาของคณะกรรมการกําหนดราคากลางเอง และได้ความว่าเหตุที่ราคากลางสูงขึ้นเป็นผลมาจากมีการเปลี่ยนแปลงแบบแปลนก่อสร้าง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการกระทําของจําเลยที่ 2 โดยเฉพาะจําเลยที่ 5 ได้เสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเดิม ราคากลางใหม่มิได้มีผลกระทบทําให้รัฐต้องเสียงบประมาณเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ส่วนที่ต่อมาผู้เสนอราคาไม่ดําเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในขั้นตอนของการบริหารสัญญา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีเสนอราคาเป็นรายภาค หรือเป็นกรณีเสนอราคาทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียวก็ตาม คดีฟังไม่ได้ว่าจําเลยที่ 2 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สํานักงานตํารวจแห่งชาติ การกระทําของจําเลยที่ 2 จึงไม่เป็นกระทําความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปมีว่า จําเลยที่ 3 และที่ 4 กระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าตามระเบียบที่เกี่ยวข้องมิได้มีข้อกําหนดโดยชัดแจ้งให้คณะกรรมการประกวดราคามีหน้าที่ต้องพิจารณารายละเอียดและราคาต่อหน่วยของวัสดุแต่ละรายการที่ปรากฏในบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา สําหรับเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เลขที่ 15/2553 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2553 แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการประกวดราคาจะพิจารณาจากราคารวมเป็นสําคัญ คดีนี้เมื่อพิจารณาจากราคารวมแล้วปรากฏว่าจําเลยที่ 5 เสนอราคารวมเป็นเงิน 5,848 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลาง 540 ล้านบาท ฟังไม่ได้ว่าจําเลยที่ 5 เสนอราคาต่ำจนถึงขั้นคาดหมายได้ว่าจะไม่อาจดําเนินงานตามสัญญาได้ นอกจากนั้น โจทก์คงกล่าวหาว่าบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้าง (BOQ) ของจําเลยที่ 5 มีรายการผิดปกติเพียงรายการเดียวคือ รายการเสาเข็มมีราคาต่ำ ลําพังเฉพาะราคาเสาเข็มรายการเดียวยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จําเลยที่ 3 และที่ 4 จะต้องเสนอไม่รับราคารวมทั้งหมดของจําเลยที่ 5 แม้จําเลยที่ 3 และที่ 4 จะมิได้นําเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาในการก่อสร้างเสนอให้คณะกรรมการประกวดราคาพิจารณา แต่ก็ไม่มีข้อพิรุธประการใดว่าจะเป็นการปกปิดเพื่อเอื้อประโยชนแก่จําเลยที่ 5 ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าการกระทําของจําเลยที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สํานักงานตํารวจแห่งชาติ

ส่วนที่โจทก์อ้างว่าการกระทําของจําเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเหตุให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติหักค่าเสาเข็มได้น้อยกว่าราคาที่แท้จริงนั้น ไม่ปรากฏว่าโดยปกติทั่วไปผู้ประกอบการจะคํานึงถึงเรื่องนี้กันตั้งแต่ในชั้นยื่นเสนอราคา จึงไม่อาจฟังได้ว่าจําเลยที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาวางแผนเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่จําเลยที่ 5 นอกจากเรื่องราคาเสาเข็มแล้ว ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่ามีการกําหนดตัวจําเลยที่ 5 ไว้เป็นผู้รับจ้างล่วงหน้า หรือสมรู้ร่วมคิดกันกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์แก่จําเลยที่ 5 ให้เป็นผู้มีสิทธิทําสัญญาโดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือสั่งการให้เลือกจําเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการเสนอราคาโดยเฉพาะเจาะจง อันจะเป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการประกวดราคาแต่อย่างใด พยานหลักฐานที่ไต่สวนมาฟังไม่ได้ว่า จําเลยที่ 3 และที่ 4 กระทําความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาสุดท้ายว่า จําเลยที่ 5 และที่ 6 กระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจําเลยที่ 5 และที่ 6 เป็นผู้สนับสนุนจําเลยที่ 3 และที่ 4 ในการกระทําความผิด เมื่อคดีนี้ได้วินิจฉัยแล้วว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจําเลยที่ 3 และที่ 4 กระทําความผิดดังกล่าว จึงไม่อาจลงโทษจําเลยที่ 5 และที่ 6 ในฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว จึงไม่จําต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์และอุทธรณ์จําเลยที่ 2 อีกต่อไป เพราะไม่อาจทําให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ พิพากษายืน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เตือนฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 60%

กรุงเทพฯ 16 ก.ค. – กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณ จ.เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ เลย หนองคาย จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 60% และมีฝนตกหนักบางแห่ง กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ เลย หนองคาย จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้ เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังอ่อนลงเป็นกำลังปานกลาง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง มีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร […]

วธ. ยันกัมพูชาไม่ได้สอดไส้วรรณกรรมไทย ขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก

กทม. 15 ก.ค.-กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ยืนยันกัมพูชาไม่ได้นำวรรณกรรมไทย 22 รายการ สอดไส้ขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ออกหนังสือชี้แจง ตามที่มีการกล่าวอ้างในเพจดังกล่าวว่า “นี่คือวรรณกรรมไทย ที่กัมพูชานำไปสอดไส้ขึ้นทะเบียนต่อ Unesco และได้รับการขึ้นทะเบียนไปเรียบร้อย เพราะรัฐบาลไทยปล่อยปละละเลยและไม่คัดค้านเลยแม้แต่นิดเดียว…” กระทรวงวัฒนธรรม ขอขอบคุณท่านที่ห่วงใยต่อกรณีประเทศกัมพูชานำวรรณกรรมไทย จำนวน 22 รายการ นำไปขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก ในหัวข้อ มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของกัมพูชา เพื่อใช้ในการแสดง Royal Ballet of Cambodia เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับยูเนสโก ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว และขอชี้แจง ดังนี้ 1.ข้อมูลที่อ้างว่ามีการขึ้นทะเบียน “วรรณกรรมไทย 22 รายการ” โดยกัมพูชา ไม่เป็นความจริง เนื่องจากกัมพูชาไม่ได้เสนอขอขึ้นทะเบียนวรรณกรรม จำนวน 22 เรื่อง ต่อองค์การยูเนสโก แต่กัมพูชาได้เสนอขึ้นทะเบียน The Royal Ballet of Cambodia ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงโบราณของกัมพูชา และยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2546 […]

รวมพลัง 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

15 ก.ค. – กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย องค์การทางศาสนาทั้ง 15 องค์การ จาก 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ รวมทั้งหน่วยงานเครือข่าย มีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ประกอบพิธีทางศาสนา ผู้นำทางศาสนา ศาสนิกชน เครือข่ายสถานศึกษา ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม รวมกว่า 1,000 คน ร่วมพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม จัดขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อถวายพระราชกุศลและถวายพระพรชัยมงคล แสดงความจงรักภักดีและสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า กิจกรรมประกอบด้วย พิธีถวายพระพรชัยมงคล […]

หน่วยงาน 3 ป. แถลงปฏิบัติการจับกุม “สีกากอล์ฟ” จ่อขยายผลเส้นเงิน

บก.ป. 15 ก.ค.- ตำรวจแถลงปฏิบัติการจับกุม “สีกากอล์ฟ” ตรวจสอบเงินในบัญชี 3 ปีย้อนหลัง พบมีเงินหมุนเวียน 385 ล้านบาท ส่วนใหญ่โอนไปเว็บพนัน เหลือเงินในบัญชี 8,000 บาท ขณะที่พระผิดธรรมวินัยทยอยลาสิกขาแล้ว 9 รูป จากทั้งหมด 13 รูป พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วยนายภูมิวิศาล เกษมสุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการ ปปง., นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช., พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ร่วมกับ […]