“ก้าวไกล” มติเอกฉันท์ไม่โหวตแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย

กรุงเทพฯ 15 ส.ค. – “ก้าวไกล” มติเอกฉันท์ไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกฯ จาก “เพื่อไทย” ไม่สนับสนุนรัฐบาลข้ามขั้ว ขัดเจตนารมณ์การลงคะแนนเลือกตั้ง 66 ซัดเกรงใจผู้มีอำนาจมากกว่าประชาชน แต่ยันไม่เสนอชื่อ “พิธา” ชิงนายกฯ แม้จะไม่โหวตแคนดิเดตนายกฯ พรรคอื่น


นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่าที่ประชุม สส.พรรคก้าวไกล มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่โหวตให้แคนดิเดตนายก​รัฐมนตรี​ของพรรคการเมืองที่จัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วในตอนนี้ เพราะไม่ต้องการสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลที่ขัดเจตนารมณ์ของประชาชนจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ด้วยเหตุผลใน 3 ประการดังนี้

  1. รัฐบาลผสมข้ามขั้วที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีการนำพรรครัฐบาลขั้วเดิมเกือบทั้งหมดมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย เท่ากับขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่แสดงออกอย่างชัดเจนในวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ว่าต้องการพลิกขั้วรัฐบาล
  2. การที่พรรคก้าวไกลจะโหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐบาลผสมข้ามขั้วนี้ ไม่ใช่การปิดสวิตช์ สว. ตามที่มีการกล่าวอ้าง แต่เป็นการเดินตาม สว. เพื่อปิดสวิตช์ก้าวไกล เพราะหากทุกพรรคการเมือง มีเจตนาที่จะปิดสวิตช์ สว. และเคารพเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง ก็ต้องแสดงออกโดยการโหวตให้รัฐบาลเสียงข้างมากที่จัดตั้ง โดยก้าวไกลตั้งแต่แรก ไม่ใช่การจัดตั้งรัฐบาลตามความต้องการของ สว. และอ้างว่า ปิดสวิตช์ สว.
  3. แม้ขณะนี้จะยังไม่มีความชัดเจนเรื่ององค์ประกอบคณะรัฐมนตรี แต่เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าหน้าตาคณะรัฐมนตรีจะไม่แตกต่างจากรัฐบาลเดิมมากนัก พรรคก้าวไกลไม่เชื่อว่าการจัดตั้งรัฐบาลโดยเกรงใจผู้มีอำนาจ แต่ไม่เกรงใจประชาชน จะผลักดันวาระที่ก้าวหน้าและนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างแท้จริงได้

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ สส.ก้าวไกล เอกฉันท์ ส่วนสถานการณ์การเลือกนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาลหลังจากนี้ ต้องดูว่าเป็นอย่างไรต่อ อาจโหวตนายกฯไม่จบในครั้งเดียว แต่ที่ประชุมในวันนี้มีการพิจารณาวาระสำคัญประเด็นเดียวคือการโหวตนายกฯ ส่วนเรื่องอื่น ๆ เป็นเรื่องของอนาคต


เมื่อถามว่า การจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วดังกล่าว พรรคก้าวไกลจะสามารถร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้อยู่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วตอนนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ได้แสดงออก ส่งเสียงผ่านการเลือกตั้ง 2566 ชัดเจนแล้วว่า ต้องการพลิกขั้วรัฐบาล ต้องการเห็นพรรคชนะลำดับ 1-2 แกนนำพรรคฝ่ายค้านเดิม ต้องการเห็นฝ่ายค้านเดิมบริหารประเทศแทนขั้วรัฐบาลเดิม แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชน และมีการพูดคุยกันอยู่เหมือนกันว่า ความคลุมเครือที่ไม่ได้ประกาศชัดเจนว่า จะมีพรรคไหนเข้าร่วมรัฐบาล ยิ่งเพิ่มไม่ไว้วางใจกับประชาชน

เมื่อถามว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สามารถเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นแคนดิเดตนายกฯอีกรอบได้ จะเสนอชื่อแข่งหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า คนละประเด็น คิดว่า การเสนอชื่อซ้ำได้ เราเห็นด้วยอยู่แล้ว เป็นเรื่องหลักการ ไม่ได้เกี่ยวกับเสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกฯอีกหรือไม่ แต่นี่คือหลักการที่ควรเป็นแบบนั้น ต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลจะเสนอญัตติให้ทบทวนมติเดิมของรัฐสภาในการตีความข้อบังคับ เราไม่เห็นด้วยที่มีการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสภาทำอะไรได้ ไม่ได้

เมื่อถามย้ำว่า ในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯที่กำลังจะถึงนี้ พรรคก้าวไกลจะเสนอชื่อนายพิธาแข่งด้วยหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า “ไม่ ๆ ไม่ได้เสนอแข่ง”


เมื่อถามว่า หลังจากนี้หมายความว่าพรรคก้าวไกล ปิดประตูต่อรองกับพรรคเพื่อไทยแล้วใช่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ปิดประตูต่อรองหมายถึงอะไร หมายความว่า ต่อรองว่าแม้จะเป็นฝ่ายค้าน แล้วมีข้อตกลงอะไรกับแกนนำพรรครัฐบาลหรือไม่ ถ้าเรื่องนี้คงไม่มี เพราะอย่างที่ย้ำเหตุผลหนึ่ง เป็นเหตุผลประกอบที่จะไม่โหวตแคนดิเดตนายกฯ ของรัฐบาลที่กำลังจัดตั้ง เราไม่เชื่อว่า การจัดตั้งรัฐบาลในสภาพการณ์แบบนี้ คือเกรงใจผู้มีอำนาจทุกฝ่าย ยกเว้นประชาชน จะสามารถผลักดันวาระของประชาชนที่ก้าวหน้าได้จริง ๆ ต่อให้รับปากอะไรกัน ก็ไม่เป็นผลในการปฏิบัติอนาคตอยู่แล้ว ส่วนเรื่องใดถ้าก้าวไกลเสนอ อนาคตถ้าเราเป็นฝ่ายค้าน ถ้าประชาชนสนับสนุนอย่างชัดเจน เชื่อว่าเสียงส่วนใหญ่ในสภาจะสนับสนุนข้อเสนอเราอยู่แล้ว โดยไม่ต้องทำข้อตกลงอะไรกัน

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะโหวตไม่เห็นด้วย หรืองดออกเสียง นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกัน แต่ที่ชัดเจนคือ จะไม่โหวตให้ ส่วนจะถึงกับลงคะแนนว่าไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง คงต้องดู มีรายละเอียดต้องพิจารณาถึงรัฐบาลที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นด้วย เช่น องค์ประกอบเป็นอย่างไร อย่างเป็นทางการ เป็นต้น

เมื่อซักอีกว่า หากมี 2 ลุงจะลงคะแนนเสียงไม่เห็นชอบใช่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เชื่อว่าถ้ามี 2 ลุง สส. ส่วนใหญ่คงเสนอให้โหวตไม่เห็นชอบ แต่ถ้าไม่มีก็อาจงดออกเสียง ต้องบอกว่าวันนี้ยังไม่ได้ลงรายละเอียด ที่แน่นอนคือจะไม่โหวตเห็นชอบ​

เมื่อถามว่า เมื่อตอนก้าวไกลเป็นแกนนำ พรรคเพื่อไทยยังโหวตให้นายพิธา แต่ตอนนี้ก้าวไกลไม่โหวตให้เพื่อไทย ทำให้เป็นเงื่อนไขของเพื่อไทยที่ต้องรวมพรรค 2 ลุงจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องนั้นคนละเงื่อนไข คิดว่าตอนนั้นเรามีความชอบธรรมในการจับมือจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ตามเจตจำนงของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง คนละสภาพการณ์กัน แต่ตอนนี้กำลังเกิดการจัดตั้งรัฐบาลที่บิดเบือน เจตจำนงประชาชนในการเลือกตั้ง นี่เป็นหลักการใหญ่ ไม่ว่าการเสนอปิดสวิตช์ สว. เพื่อให้เคารพผลการเลือกตั้ง .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]