กรุงเทพฯ 4 ก.ย.- SET Index ส.ค.68 ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.5% ผจก.ตลท. เชื่อการเปลี่ยนแปลงการเมืองจะไม่ทำให้ตลาดหุ้นไทยชะงัก นักลงทุนต่างชาติคุ้นเคยการเมืองไทยที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน เผยปีนี้ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต.แล้ว 18 บริษัท เห็นชอบแล้ว 10 บริษัท
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าภาคตลาดทุนจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตามสถานการณ์การเมืองไม่ได้กระทบกับภาคตลาดทุนมากนัก เนื่องจากนักลงทุนดูปัจจัยพื้นฐานธุรกิจและพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นหลัก และข้อเท็จจริงที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาการเมืองไทยไม่ว่าใครจะมาบริหาร ก็ไม่ทำร้ายตลาดทุน และจากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสถาบันหรือกองทุนขนาดใหญ่ในงานไทยแลนด์โฟกัส 2025 ที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการเมืองไทยที่ไม่มีความรุนแรง แม้ไม่มั่นใจว่าโครงการขนาดใหญ่จะถูกขับเคลื่อนต่อไปหรือไม่ แต่ยังสนใจตลาดหุ้นไทยที่เป็นตลาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ประกอบกับเศรษฐกิจยังพอขยายตัวได้
เสียงสะท้อนจากนักลงทุนถึงรัฐบาลใหม่ ต้องการให้ขับเคลื่อนพื้นฐานเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น และระยะยาว จากนักลงทุนต่างชาติมาบริษัทจดทะเบียนเป็นกรมอุตสาหกรรมเก่า จึงอยากให้มีการสนับสนุน กลุ่ม New Economy และ New S Curve

ทั้งนี้ หลังจากจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเข้าหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อร่วมขับเคลื่อนตลาดทุนและหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยจะผลักดันโครงการ JUMP+ ต่อไป ส่วนโครงการทG-Token และ BOND Connect อาจต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ และหากเป็นไปได้อยากได้รัฐมนตรีคลังที่เข้าใจตลาดทุน เพื่อจะได้ใช้กลกลตลาดทุนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ช่วงที่เหลือของปีนี้แม้การเมืองจะเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่เห็นการชะลอ IPO โดยปีนี้มี 18 บริษัทยื่นไฟลิ่งกับสำนักงาน ก.ล.ต. ผ่านความเห็นชอบแล้ว 10 แห่ง ในจำนวนนี้น่าจะมีหุ้นขนาดใหญ่เข้า IPO ด้วย 2 บริษัท คือ กลุ่มบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) และบริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น
ขณะที่ 8 เดือนแรกของปี 2568 นี้มีบริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว 36 ล้านดอลลาร์ ยอมรับว่าปีนี้ต่ำสุดเป็นปีแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา แต่หากเทียบมูลค่าของบริษัทที่เข้าระดมทุนในเอเชียไทยยังมากกว่าประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนาม

ด้านนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าเดือน ส.ค.2568 ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยได้รับแรงหนุนจากสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานFed ส่งสัญญาณถึงโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน 2568 ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตาม เงินทุนต่างชาติไหลออกจากทั้งตลาดพันธบัตรและหุ้นไทย ท่ามกลางส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของไทยและสหรัฐที่กว้างขึ้น หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.50% ต่อปี ส่งผลให้ดัชนี SET Index ในเดือนสิงหาคม 2568 ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.5% จากสิ้นเดือนกรกฎาคม
สำหรับปัจจัยในประเทศ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็น 2% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.8% ตามการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจาก 3.2% ในไตรมาส 1/2568 ปัจจัยหลักจากการชะลอตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
ภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 ของบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าคาดปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ความสำเร็จของงาน Thailand Focus 2025 และผลตอบแทนหุ้น IPO ที่เริ่มฟื้นตัวในเดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย
สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม SET Index ปิดที่ 1,236.61 จุด ปรับลดลง 0.5% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับลงเล็กน้อยหลังปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 SET Index ปรับลดลง 11.7% จากสิ้นปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มทรัพยากร
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 50,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมฯ อยู่ที่ 43,011 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 51.47% ของมูลค่าการซื้อขายรวม แต่มีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 21,816 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกลับมาขายสุทธิหลังจากซื้อสุทธิในเดือนก่อนหน้า มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล (HANN) Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 13.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.5 เท่าและ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ15.4 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 3.99% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.08%
ขณะที่ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนสิงหาคม 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 369,772 สัญญา เพิ่มขึ้น 4.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Options ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 419,267 สัญญา ลดลง 13.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures.-516-สำนักข่าวไทย