กรุงเทพฯ 25 ก.ย. – InnovestX ระบุการที่ฟิทช์เรทติ้งส์ปรับลดมุมมองเครดิตไทยเป็น “เชิงลบ” แม้ไม่เกินคาด แต่สะท้อนโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่น ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากการส่งออก หนี้สาธารณะ และการบริโภคที่อ่อนแรง โดยประเมิน GDP ปีนี้โตเพียง 1.8% และปีหน้าลดเหลือ 1.4%
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยถึงการที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ปรับลดมุมมองเครดิตประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” แต่ยังคงอันดับเครดิตที่ “BBB+” โดยให้เหตุผลว่า ฐานะการคลังมีความเปราะบาง ความไม่แน่นอนทางการเมืองยืดเยื้อ และแนวโน้มเศรษฐกิจยังอ่อนแอ โดยนายสุทธิชัยกล่าวว่า การปรับลดมุมมองครั้งนี้ไม่เหนือความคาดหมายของตลาด แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งทำการบ้าน โดยเฉพาะการประสานสัญญาณร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันไม่ให้ไทยถูกปรับลดอันดับเครดิตในอนาคต
สำหรับมาตรการระยะสั้นที่รัฐบาลออกมา เช่น โครงการคนละครึ่ง แม้ช่วยได้บ้าง แต่กระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 0.1% เท่านั้น ขณะที่ภาพรวมทั้งปี 2568 InnovestX ประเมินว่า GDP จะโตเพียง 1.8% และปี 2569 ลดลงเหลือ 1.4% โดยแรงกดดันสำคัญคือ การส่งออกที่ครึ่งปีแรกยังขยายตัว แต่ครึ่งปีหลังและปีหน้ามีแนวโน้มชะลอ ประกอบกับปัญหาหนี้สาธารณะที่สูง
ในด้านการเมือง นายสุทธิชัยเห็นว่า ภาพรวมคลี่คลายขึ้น หลังรัฐบาลใหม่จะเข้ามาบริหาร ทำให้การจัดทำงบประมาณสามารถเดินหน้าตามแผน แต่ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่จะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ซึ่งอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบาย
ส่วนปัจจัยบวกสำคัญมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง และคาดว่าจะลดต่อในครึ่งปีแรกปีหน้า ช่วยหนุนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเองอาจพิจารณาลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและแก้แรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไป
แม้ปัจจัยจากต่างประเทศจะช่วยหนุนบรรยากาศลงทุน แต่โจทย์ใหญ่ของไทยยังอยู่ที่การดูแลค่าเงินและการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย โดยรวมแล้ว ภาพการลงทุนมีทิศทางดีขึ้น แต่ยังต้องระมัดระวัง ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว มาตรการของรัฐและทิศทางนโยบายการเงินยังคงมีความสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า. -512 – สำนักข่าวไทย