ก้าวไกลเปิดหลักฐาน “ศักดิ์สยาม” เพิ่ม

ก้าวไกล 25 ก.ค. – “ปกรณ์วุฒิ” เปิดหลักฐานเพิ่ม ตั้งข้อสงสัยงบการเงินบริษัท “ศักดิ์สยาม” แฉอาจเกี่ยวข้องฟอกเงิน เตรียมยื่น DSI เพิ่ม ยันพรรคไฟเขียว เชื่อไม่กระทบจัดตั้งรัฐบาล เพราะเป็นการตรวจสอบที่ทำต่อเนื่อง ประกาศจุดยืนชัดเจนดีเอ็นเอพรรค พร้อมตรวจสอบรัฐมนตรีพรรคด้วย


นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมคดีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซุกหุ้นห้างส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตัคชัน จนนำมาสู่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายศักดิ์สยามหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

นายปกรณ์วุฒิ เปิดเผยว่า ได้รับเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเมื่อ 3-4 สัปดาห์ก่อน และพบพิรุธหลายจุด พบหลักฐานใหม่ว่ามีหนี้สินคงค้างกับห้างหุ้นส่วนฯ ในวันเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. มีข้อมูลว่าเคยกู้เงิน ในปี 2558-2559 จำนวน 4 ครั้ง วงเงิน 108.4 ล้านบาท มีสัญญากู้ยืมเงิน และชำระหนี้คืนทั้งก้อน 22 เม.ย. 2562 ก่อนเข้ารับตำแหน่ง 33 วัน โดยอ้างอิงว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2565 ซึ่งได้อภิปรายถามว่าหนี้สินที่นายศักดิ์สยามมีกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ได้โอนออกพร้อมกับการโอนหุ้นหรือไม่ แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ


“ข้อมูลดังกล่าวที่ไม่เปิดเผยชี้ให้ห็นว่าหลังจากการโอนหุ้นแล้วไม่ได้โอนหนี้สินก้อนนี้ออกไปด้วย เอกสารเป็นการมัดตัวว่าหนี้สินจำนวนนี้ยังเป็นของนายศักดิ์สยามอยู่หลังการโอนหุ้นเมื่อปี 2561 จึงเกิดคำถามว่ามีการชำระหนี้คืนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 จริงหรือไม่ เพราะงบการเงินของห้างหุ้นส่วนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ระบุชัดเจนว่ายังมีเงินให้ในส่วน ผู้จัดการกู้ยืมคงค้างอยู่ 38 ล้านบาท จากนั้นยอดหนี้สินจึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาท ในงบการเงินสิ้นปี 2563 ซึ่งการปิดงบจะต้องสอดคล้องกับเอกสารและยอดเงินในธนาคารทั้งหมดของห้างหุ้นส่วน เพราะจะต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฎหมาย จึงเป็นไปได้ว่านายศักดิ์สยามเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนอยู่ 38 ล้านบาท ในสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. สมมติมองในแง่ดี วันที่ 22 เมษายน 2562 มีการโอนเงิน 108 ล้านบาท ให้ห้างหุ้นส่วนตามเอกสาร” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า พิรุธประการต่อไป เมื่อพิจารณาเอกสารชี้แจงจะพบว่าห้างหุ้นส่วนได้ระบุว่านายศักดิ์สยามกู้ยืมเงิน 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2559, 2560, 2561 ระบุยอดตรงกัน 69 ล้านบาท ซึ่งตรงกับการกู้ยืมครั้งที่ 3-4 รวมกัน แต่การกู้เงินครั้ง 1-2 เป็นจำนวนเงิน 39 ล้านบาท ตั้งคำถามทำไมไม่เคยปรากฏในงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว และยอดเงินจำนวนดังกล่าวมาจากไหน ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจไม่ได้ชำระหนี้ และยังมียอดหนี้คงค้างตามงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่โอนเข้าห้างหุ้นส่วนจริงๆ ซึ่งอาจเป็นการทำธุรกรรมเพื่อการอื่นมากล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้ แต่ยอดเงินดังกล่าวไม่ตรงกับ 69 ล้านบาท จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏ ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมาที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีการติดอากรแสตมป์ที่จะมีการประทับวันที่มีผลทางกฎหมายเป็นทางการหรือไม่ โดยชี้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบสวนต่อไป

“ข้อสงสัยมากที่สุดคือตัวเลขในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินไม่สอดคล้องกับการขายหุ้นของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว หากขายจริงและได้รับเงิน 120 ล้านบาทจริงในเดือนมกราคม 2561 เหตุใดในการยื่นทรัพย์สินในช่วง 16 เดือนหลังจากนั้นกลับมีเงินสดซึ่งเป็นเงินฝากเพียงจำนวน 76 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นตัวเลขจริงอาจเป็นการใช้เงินที่ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สินอย่างน้อย 40 ล้านบาท ภายใน 16 เดือน และตัวเลข 40 ล้านบาท ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าก่อนเดือนมกราคม 2561 นายศักดิ์สยามไม่มีเงินเลยแม้แต่บาทเดียว ซึ่งจากการชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายศักดิ์สยามว่าเงินจากการขายหุ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะนำไปใช้ จึงไม่จำเป็นรายงานต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงตั้งข้อสงสัยว่าหากมีการจ่ายเงินคืนหนี้สิน 22 เมษายน 2562 เหตุใดนายศักดิ์สยามจึงไม่นำข้อมูลหลักฐานมาชี้แจงในสภาฯ ซึ่งหนี้สินก้อนนี้คือฟางเส้นสุดท้ายในการยึดโยงนายศักดิ์สยามกับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว


นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า หากชำระหนี้ไปแล้วจริงจะเป็นหลักฐานสำคัญว่าได้ตัดขาดจากห้างหุ้นส่วนแห่งนี้โดยเด็ดขาด และจะสามารถหักล้างข้อสงสัยได้ทันทีทันใด และยอมรับว่าจะกลายเป็นมาติดทำให้ตนเองนั้นถูกน็อกกลางสภาฯ แต่นายศักดิ์สยามไม่ชี้แจงว่านำเงินจากการขายหุ้นมาใช้คืนหนี้สินให้กับทางหุ้นส่วนจำกัดแห่งนี้มูลค่า 108 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบพิรุธในเอกสารที่ได้ส่งที่แจ้งต้องถามรัฐธรรมนูญหลายจุดเช่น นายศักดิ์สยามให้ขอเอกสารจากห้างหุ้นส่วนฯ เป็นเอกสารใบรับวางบิล หุ้นส่วนฯ ผู้จัดการคนใหม่ได้เข้ามาควบคุมเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่มีการโอนหุ้นจริง

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ได้ยื่นรายชื่อพยานต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 22 คน และรายชื่อพยานเอกสาร รายการเพื่อให้ศาลเรียกเพื่อหักล้างคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายศักดิ์สยาม และยังพบรายการเดินบัญชี 27 บัญชี ของนายศักดิ์สยาม และผู้เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันยังเปิดเผยว่ามีทีมงานเพื่อชี้เบาะแสผู้ที่น่าเชื่อว่ารวมการกระทำความผิดฐานฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI  จึงขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระ ทั้ง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ เรียกศรัทธาจากสังคมและการปฏิบัติ ปฏิบัติกับทุกคำร้อง  ตามกฎหมายตามกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม และมาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องตั้งคำถาม ทั้งนี้ ประมาณ 9-10 เดือน ที่ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. และฝั่งศาลรัฐธรรมนูญมีเวลาใกล้เคียงกัน แต่มีความคืบหน้าไปแล้ว ตอนนี้รอเพียงศาลรัฐธรรมนูญเรียกพยานบุคคลไปให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เมื่อถามว่า หากเทียงเคียงกับคดีของ สส.ก้าวไกล ความรวดเร็วและการทำงานแตกต่างกันอย่างไร นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า คงไม่ใช่แค่เรื่องนี้ และเรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่องหนึ่ง หากย้อนไปตั้งแต่ยุคของ คสช. ที่มีการยื่นคุณสมบัติของรัฐมนตรีแต่ละกรณีพิจารณาไม่ต่ำกว่า 300 วัน หรือบางทีก็มากกว่านั้น แต่หากเป็นเคสของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ก็จะค่อนข้างรวดเร็วอย่างที่เห็น ส่วนที่ต้องยื่นใหม่เอกสารอีกครั้งที่ ป.ป.ช. เพราะเป็นหลักฐานเพิ่มเติม และเป็นประเด็นที่แยกย่อยมาจากคำร้องครั้งที่แล้วในคดีซุกหุ้น จึงอยากให้ ป.ป.ช. เรียกดูเอกสารตามอำนาจที่มีทั้งจากธนาคาร และเอกชน รวมถึงราชการที่จะมาเชื่อมโยงได้ว่าทั้งหมดที่มีการกล่าวอ้างจริงหรือไม่ และตัวเลขหนี้ที่คงค้างอยู่ในงบการเงินนั้น เป็นความผิดพลาดทางงบการเงิน หรือเป็นความผิดพลาดที่ไม่เคยมีการใช้หนี้มาก่อน

เมื่อถามว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่พูดถึงพรรคอันดับที่ 3 จะมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่ เพราะมีการแถลงในช่วงที่เป็นกระแสเรื่องนี้ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ทราบว่ามีเอกสารชุดนี้เมื่อประมาณ 4 สัปดาห์ที่แล้วจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ และช่วงที่ผ่านมาตนยังไม่มีเวลาดูเรื่องนี้ แต่หลังจากเปิดประชุมสภาฯ แล้ว และได้มีเวลาดูเอกสารประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ทำเรื่องนี้เสร็จเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จึงนำมาสู่การแถลงข่าว โดยไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรออะไรในการที่จะไปยื่น เพราะหากรอไปเกิดมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อาจจะไม่ทันการ จึงคิดว่าจะต้องยื่นเลย

ส่วนจะกระทบไปยังการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการขอเสียงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น มองว่า เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะตนก็ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเอง รวมไปถึงยื่นต่อ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญเอง ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ทำ ส่วนเรื่องการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วมรัฐบาล เราเคยประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่าต่อให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ได้เป็นก็จะตรวจสอบรัฐมนตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล รวมไปถึงประเด็นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ที่ได้เซ็นไว้ใน MOU ของ 8 พรรคร่วมด้วย

ส่วนจะเป็นการสื่อสารว่าไม่เอาพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าเราจะร่วมหรือไม่ร่วม ท้ายที่สุดเราก็ต้องทำงานตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน รวมไปถึงพรรคตัวเองด้วยที่เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หากมีพฤติกรรมอย่างไรที่ไม่ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเจรจา เพราะการเจรจาร่วมรัฐบาลในตอนนี้เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยและทีมเจรจาของพรรคก้าวไกล ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในทีมเจรจา

เมื่อถามว่ายอมรับหรือไม่ว่าจะกระทบกับการจัดตั้งรัฐบาลนั้น มองว่าไม่กระทบ เพราะถือว่าเป็นระบบปกติ ทุกคนทราบอยู่แล้วว่าดีเอ็นเอของพรรคก้าวไกลเป็นแบบนี้ ตนคิดว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล และนายพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ภาพของการที่พรรคก้าวไกลตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองคงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเท่าไร ดังนั้น เมื่อเคยพูดแบบไหนก็ทำแบบนั้น ดีกว่าวันนี้แกล้งทำเป็นหลับหูหลับตาแล้ววันหนึ่งเรากลับมาตรวจสอบเขาอย่างเข้มข้น เป็นภาพที่ดูไม่งามเท่าไร การตรวจสอบการทุจริตไม่มีเวลาที่ไม่เหมาะสมในการยืนยันสิ่งที่ถูกต้อง

ส่วนจะบีบให้ทางเลือกเหลือน้อยลงหรือไม่ เพราะหากไม่เอาพรรค 2 ลุง ก็จะเหลือทางเลือกเดียว คือ ภูมิใจไทย โดยมีนายศักดิ์สยามเป็นเลขาธิการพรรค นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องของทีมเจรจาว่าจะไปเจรจาด้วยเงื่อนไขอย่างไร แต่เรายืนยันตรงนี้ ว่าเราทำหน้าที่ของเราอย่างต่อเนื่อง ถ้าจะบอกว่าเราต้องรอการเจรจาให้จบก่อน ก็ไม่รู้ว่าการเจรจาจะจบเมื่อไร แล้วจะต้องรอเรื่องที่เราตรวจสอบไว้นานแล้วไปอีกนานเท่าไร ดังนั้น จึงมองว่าไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ นอกจากทำไปตามกระบวนการตามปกติ ทั้งนี้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่านายศักดิ์สยามจะยังคงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะจะมีผลในอนาคต หากคำร้องนี้มีคำวินิจฉัยว่าผิดจริง ก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้อีกอย่างน้อย 2 ปี

จากนั้นในเวลา 11.30 น. นายปกรณ์วุฒิ เดินทางไปยัง ป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินของนายศักดิ์สยามต่อไป.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เจรจาล่ม ตัวแทนจีนไม่พอใจลุกกลางวงเจรจา ยันไม่ติดเงินใคร

เจรจาล่ม ตัวแทนจีนไม่พอใจ ลุกกลางวงเจรจา ยันไม่ติดเงินใคร ด้านบริษัท 9PK นำเอกสารชี้แจง พร้อมขอให้บริษัทจีนช่วยอนุมัติเงินมาจ่ายให้กลุ่มผู้รับเหมาก่อน

จับแล้วโจรบุกเดี่ยวชิงทองกลางเมืองหาดใหญ่

จับแล้วโจรมาเลย์บุกเดี่ยวชิงทองกลางเมืองหาดใหญ่ จนมุมสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ เผยมาหาลูกชายที่ จ.นนทบุรี แต่ลูกไม่ให้เข้าบ้าน

ปิดล้อมจับชายวัย 43 ยิงเพื่อนบ้าน-ตร.เจ็บ 4

ตำรวจปิดล้อมนานถึง 11 ชั่วโมง จับชายวัย 43 ปี ใช้ปืนยิงเพื่อนบ้านและตำรวจที่เข้าระงับเหตุ บาดเจ็บรวม 4 ราย หลังโมโหเพื่อนบ้านติดกล้องวงจรปิดหันส่องไปทางบ้านผู้ก่อเหตุ ยิงแก๊สน้ำตา-ญาติเกลี้ยกล่อม ยังไม่เป็นผล

แผ่นดินไหวขนาด 5.8 ในไต้หวัน-ไม่มีรายงานความเสียหาย

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาไต้หวันรายงานวันนี้ว่า เกิดแผ่นดินไหวขนาดด 5.8 ที่เทศมณฑลอี้หลาน (Yilan) ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทห่างไกลทางตจะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ

ข่าวแนะนำ

ผู้ว่าฯ สตง. เปิดใจครั้งแรก ยันรอผลสอบสาเหตุตึกถล่ม

ผู้ว่าฯ สตง. เปิดใจครั้งแรก ยันรอผลสอบสาเหตุตึกถล่มจากผู้เชี่ยวชาญ 22 ท่าน พร้อมให้ข้อมูลเต็มที่ ผลสอบออกมาเป็นอย่างไร ก็จะยอมรับ ย้ำเชื่อมั่นความโปร่งใส ขณะนี้ สตง.ได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง บ.อิตาเลียนไทยฯ เพื่อให้รับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด

ปชช.กลับบ้านสงกรานต์ แน่นสถานีขนส่งหมอชิต 2

บรรยากาศที่สถานีขนส่งฯ หมอชิต 2 ประชาชนเข้าใช้บริการแน่นขนัด บขส. ยืนยันจัดรถเสริมไว้บริการเพียงพอ พร้อมทั้งจัดจุดประสานงานจราจร ให้รถโดยสารเข้าถึงชานชาลาได้เร็วขึ้น

ไล่ล่า “บุญเกิด” มือยิง ตร.ดับ ตั้งค่าหัว 1 แสนบาท

คดีคนร้ายยิงตำรวจเสียชีวิต ขณะเข้าตรวจค้นกระท่อมภายในสวนยางพารา เจ้าหน้าที่ยังคงระดมกำลังค้นหาตัวมือยิง เชื่อยังหลบอยู่ในพื้นที่

ลุ้นปาฏิหาริย์ ช่วยแรงงานติดใต้ซากอาคาร สตง.

ภารกิจค้นหาผู้ติดค้างอาคาร สตง. ถล่ม ยังคงดำเนินต่อเนื่อง หลังพบแสงสัญญาณแห่งความหวัง ที่คาดว่ามีผู้ติดค้างสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ได้ โดยเจ้าหน้าที่เร่งเจาะเปิดพื้นที่พร้อมเติมท่ออากาศลงไป