3 ก.ย. – แห่แจ้งความเอาผิด “ภูมิธรรม” ปมยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา ชี้ผิดมาตรา 112 และมาตรา 157 สะพัด! ตีกลับ พ.ร.ฎ.ยุบสภา เหตุไม่เป็นไปตามระเบียบ-กฤษฎีกาแย้งไร้อำนาจ ด้าน “อนุทิน” บอกยังเป็นแค่ข่าว รอรัฐบาลแจงดีกว่า
นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และนายสุรทิน พิจารณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปไตยใหม่ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เอาผิดนายภูมิธรรม เวชยชัย ในความผิดมาตรา 112 พร้อมเผยว่า การพยายามยื่นทูลเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ถือเป็นการกระทำที่มิบังควร เนื่องจากไม่มีอำนาจหน้าที่หรือสิทธิที่สามารถทำได้
นายไทกร ระบุว่า ได้รับข้อมูลว่านายภูมิธรรม นำเรื่องพระราชกฤษฎีกายุบสภาไปส่งยังสำนักพระราชวังแล้ว หนังสือฉบับนั้นได้ถูกส่งกลับมาที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่พรรคเพื่อไทยและนายภูมิธรรมยังไม่ยอมที่จะเคารพต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิในการที่จะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะยุบสภา กลับมีความพยายามที่จะเรียกประชุมคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะใหญ่ โดยมีการทาบทามให้ ดร.วิษณุ เครืองาม และคณะ มาทำหน้าที่ เพื่อที่จะตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาขึ้นอีกฉบับใหม่ในวันพรุ่งนี้ เพื่อที่จะนำส่งสำนักพระราชวังอีกครั้ง ถือว่าการกระทำที่ไม่บังควร

“ศุภชัย” แจ้งความเอาผิด “ภูมิธรรม“ ม.157 ปมทูลเกล้าฯ ยุบสภา
ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายภูมิธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในข้อหา “ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ปมยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยนายปกรณ์ นิลประพันธ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล เคยมีความเห็นว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจยื่นพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้ การกระทำดังกล่าวจึงอาจก่อให้เกิดความไม่เหมาะสม และระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
“เรืองไกร” โหลดเอกสารเตรียมยื่นเอาผิด “ภูมิธรรม”
ส่วน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เปิดเผยว่า ตนได้ตรวจเช็กในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่ปี 2481 มีการยุบสภา 14 ครั้ง ทุกครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งทั้งสิ้น ไม่เคยมีรองนายกฯ ที่พ้นจากตำแหน่ง แล้วรักษาการนายกรัฐมนตรีที่ยื่นทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภา อีกทั้งเหตุผลในการยุบสภาเพราะไม่มีใครโหวตเลือกนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ดังนั้น ตนได้เตรียมเอกสารต่างๆ เอาไว้แล้ว รอเอกสารเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยก็จะยื่นเรื่องเอาผิดนายภูมิธรรม ต่อ ป.ป.ช. ให้สอบทั้งจริยธรรมและอาญา ฐานทุจริตต่อหน้าที่ และประพฤติมิชอบ และยังมีความผิดฐานอื่นอีก อาจเข้าข่ายผิดมาตรา 112 ซึ่งจะให้ ป.ป.ช. ส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ด้าน ทนายเดชา กิตติเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยุบสภา ที่เขียนไว้ในมาตรา 103 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีเพียงมาตราเดียว โดยระบว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ภายในห้าวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ วันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร”
มาตรานี้เขียนไว้ในเชิงอธิบายถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประเพณีในการเขียนกฎหมายอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้ริเริ่มการยุบสภาได้เองเลย ในทางปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาที่มีรายละเอียดครบถ้วนขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยเท่านั้น
ทั้งนี้ มาตรา 103 ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ไว้ว่า การยุบสภาสามารถทำได้ในกรณีใดบ้าง และไม่ได้เขียนไว้ว่า การยุบสภาจะต้องทำโดยนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็ม หรือผู้รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะทำได้หรือไม่ แต่กำหนดเพียงว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจ” ดังนั้น หากมีการทูลเกล้าฯ และพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้ว ในทางกฎหมายข้อถกเถียงเรื่องว่า “ยุบสภาได้หรือไม่” ก็จะหมดลง.-สำนักข่าวไทย