ศาลปกครอง 4 พ.ย.- “มงคลกิตติ์” ร้องศาลปกครองสูงสุด ขอเพิกถอน-ทุเลาการบังคับคดี มติ ครม. อนุมัติกฎกระทรวงให้ต่างชาติถือครองที่ดิน ชี้ เสี่ยงขัด รธน.มาตรา 1 เข้าข่ายขายชาติ เตรียมล่ารายชื่อประชาชนทั่วประเทศคัดค้าน
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ พร้อมสมาชิกพรรคไทยศรีวิไลย์ 9 คน ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้ ศาลมีพิพากษาและมีคำสั่งเพิกถอนร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อให้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยดึงดูดคนต่างดาวที่มีศักยภาพสูงมาสู่ประเทศไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2565 พร้อมขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดี มติ ครม.ต่อ ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการอนุมัติของ ครม. เป็นการเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาจับจองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในพื้นแผ่นดินไทยอย่างง่าย และการที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบ กระทู้สดในสภาผู้แทนราษฎรวานนี้ (3พ.ย.) ว่ารัฐบาลมีความประสงค์ที่จะขายที่ดินให้กับต่างชาติจำนวน 1ล้าน ไร่ เพื่อให้เกิดเงินสะพัดจำนวน 1 ล้านล้านบาท นั้น หากคิดตามความเป็นจริงที่ดินในกรุงเทพฯ มีที่ดินประมาณ 9.8 แสนไร่ หากให้ ต่างชาติเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามจำนวนที่ตั้ง ก็เท่ากับหมดกรุงเทพมหานครแล้ว ยิ่งถ้าในอนาคตมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสมมุติ 5 แสนไร่ แปลว่ากรุงเทพมหานครจะถูกแบ่งเป็นหลายประเทศ
นายมงคลกิตติ์ ระบุว่าหากร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ ประกาศใช้ ก็อาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ที่ระบุว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิ์หรือประโยชน์อันชอบธรรมของประชาชน อีกทั้งตนเห็นว่า การที่รัฐบาลนำร่างกฎกระทรวงดังกล่าวไปปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกา เนื่องจากประชาชน เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญต่อประเทศชาติ
“ครั้งนี้เหมือนเราขายที่ดินให้ต่างชาติเพื่อแลกเงินกู้ พันธบัตรหรือการลงทุนตราสารหนี้ เหมือนเป็นการขายที่ดินขายสิทธิให้กับต่างชาติ เมื่อต่างชาติได้ไปเขาก็สามารถนำไปขายต่อได้ เหมือนประเทศไทยถูกแบ่งเป็นเสี่ยงๆเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรัฐธรรมนูญก็ไม่เคยเขียนไว้ว่า เมื่อยามที่รัฐบาลจนมุมหรือสิ้นไร้ไม้ตอก สามารถที่จะเอาโฉนดที่ดินของรัฐ และของเอกชนของประชาชนไปขายให้กับต่างชาติได้ และในรัฐธรรมนูญมาตรา1 ก็ไม่ได้เขียนวงเล็บสองเอาไว้ ดังนั้นถ้าหากนายกรัฐมนตรีสิ้นไร้ไม้ตอกจริง ก็ควรให้ ส.ส.และ ส.ว. ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา1 ให้เพิ่มวงเล็บสอง เดิมทีแบ่งแยกไม่ได้แต่หากภายหลังรัฐบาลสิ้นไร้ไม้ตอก หาเงินไม่ได้. ดูแลประชาชนไม่ไหวจำเป็นต้องเอาแผ่นดินไปขาย เนื่องจากผู้บริหารประเทศไปไม่ไหว “นายมงคกิตติ์ กล่าว
นายมงคลกิตติ์ ยังกล่าวว่า ความเสียหายที่จะตามมาหากกฎกระทรวงฉบับนี้ประกาศใช้ คือ
- นายทุนจะตั้งราคาที่ดินสูงเพื่อหวังให้ลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังมาซื้อ
- คนไทยจะขายกรรมสิทธิ์ที่ดินตนเองให้แก่ต่างชาติทำให้ผืนแผ่นดินของประเทศไทยที่มีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัดลดลง
- หากต่างชาติหรือผู้มีสัญชาติอื่นได้กรรมสิทธิ์ไปจะไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
- คนไทยที่ยังไม่มีบ้านไม่สามารถจะหาซื้อเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยได้
- ที่ดินในเขตชุมชนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของต่างชาติจะเกิดการรวมกลุ่มของชนชาติต่างๆ อาจส่งผลให้เกิดการกีดกันไม่ให้คนไทยเข้าไปในเขตที่ดินนั้นได้
“หากดูสีหน้าของ พลเอกประยุทธ์ ในการให้สัมภาษณ์ มันใจว่าจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จจนได้ ซึ่ง ตน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการทหาร เสนอว่าหากอยากทดลอง ให้นายกฯ ไปปรึกษากับ บัญชาการเหล่าทัพ เพราะที่ดินทหารมีประมาณ4.5ล้านไร่ ลองทดสอบดูว่าสามารถทำได้หรือไม่ หากทำแล้วเกิดประโยชน์ก็ให้เอาที่ดินของราชการทหารไปใช้ก่อน อีกทั้ง การขายผืนแผ่นดินเรียกว่าการ”ขายบ้านขายเมือง” ให้แก่บุคคลสัญชาติอื่นอันเป็นการแบ่งแยกประเทศไทยโดยหลักกรรมสิทธิ์และหลักสัญชาติ ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัญฑิตยสถาน 2554 ให้ความหมายคำว่าขายบ้านขายเมืองว่า “ขายชาติ” และคำว่าแบ่งแยก คือแบ่งออกจากกันเป็นส่วน”นายมงคลกิตติ์ กล่าว
นายมงคลกิตติ์ กล่าวอีกว่าอยากให้คนไทย ช่วยกันยับยั้งและในสัปดาห์หน้า จะมีการรณรงค์ล่ารายชื่อ ประชาชนทั่วประเทศเพื่อคัดค้านเรื่องดังกล่าว ตน ในฐานะผู้แทนจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น จะคัดค้านให้ถึงที่สุดก็ต้องดูกันไปว่า เรื่องนี้ใครจะดำอึดกว่ากัน .-สำนักข่าวไทย