ชัวร์ก่อนแชร์: ดร.โรเบิร์ต มาโลน ย้ำวัคซีนโควิด-19 เป็นอันตราย จริงหรือ?

3 พฤษภาคม 2565
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย: Science Feedback (สหรัฐอเมริกา)
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: พีรพล อนุตรโสตถิ์, อดิศร สุขสมอรรถ


ประเภทข่าวปลอม: ข้อมูลเท็จ

บทสรุป:


เป็นข้อมูลเท็จที่อ้างโดย โรเบิร์ต มาโลน แพทย์ผู้มีประวัติเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 ซึ่งบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่ทำให้ Spotify ถูกร้องเรียนเรื่องการเผยแพร่ข่าวปลอม

ข้อมูลที่ถูกแชร์:

มีข้อมูลเท็จเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในสหรัฐอเมริกา โดย โรเบิร์ต มาโลน แพทย์ผู้มีประวัติเผยแพร่ข่าวปลอมเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 สัมภาษณ์ผ่านรายการพอดแคส The Joe Rogan Experience ทาง Spotify เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ปี 2021 จนกระแสของรายการสร้างการโต้ตอบทางสื่อสังคมออนไลน์กว่า 51,000 ครั้ง


จากการตรวจสอบโดย Science Feedback พบว่า เนื้อหาในการให้สัมภาษณ์ตลอด 3 ชั่วโมงล้วนเป็นการบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ทั้งสิ้น โดยคลิปรายการฉบับเต็มที่อัพโหลดทาง YouTube ถูกลบในภายหลัง

มีนักวิทยาศาสตร์และบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 270 คน ร่วมกันร่างจดหมายเปิดผนึกไปยัง Spotify เพื่อเรียกร้องให้ Spotify มีมาตรการควบคุมการเผยแพร่ข่าวปลอมให้เข้มงวดยิ่งขึ้น และวิจารณ์การเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโควิด-19 ของ โรเบิร์ต มาโลน

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคมปี 2021 Twitter ได้ระงับบัญชีของ โรเบิร์ต มาโลน เป็นการถาวร ในข้อหาละเมิดนโยบายข้อห้ามด้านการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับโควิด 19 ผ่านทาง Twitter

FACT CHECK: ตรวจสอบข้อเท็จจริง:

Science Feedback ทำการหักล้างข้อมูลเท็จที่ โรเบิร์ต มาโลน ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Joe Rogan Experience โดยแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้

  1. การบังคับฉีดวัคซีนที่อยู่ในระหว่างการทดลองเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เป็นการละเมิดกฏนูเรมเบิร์กและข้อกำหนดของเบลมอนต์ รีพอร์ตในเวลาเดียวกัน (ข้อมูลเท็จ)

ไม่มีวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาชนิดไหน เป็นวัคซีนที่อยู่ในระหว่างการทดลอง วัคซีนได้รับการยืนยันถึงประสิทธิผลและความปลอดภัย

กฏนูเรมเบิร์ก (The Nuremberg Code) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 1947 ระหว่างการไต่สวนแพทย์ผู้เป็นสมาชิกพรรคนาซี ในข้อหาดำเนินการทดลองทางวิทยาศาสตร์กับเชลยในค่ายกักกัน ส่วน เบลมอนต์ รีพอร์ต (The Belmont Report) คือรายงานที่ร่างพร้อมกับการบัญญัติกฎหมายว่าด้วยการวิจัยแห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อปี 1974 เนื้อหากล่าวถึงหลักจริยธรรมพื้นฐานและข้อกำหนดเกี่ยวกับการวิจัยในมนุษย์

วัคซีนโควิด-19 ผ่านการทดสอบด้านประสิทธิผลและความปลอดภัยในการทดลองทางคลินิก ก่อนจะได้รับการรับรองให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ดังนั้นวัคซีนโควิด-19 จึงไม่ใช่ยาที่อยู่ในระหว่างการทดลอง การฉีดให้กับประชาชนจึงไม่เป็นการละเมิดกฏนูเรมเบิร์กและเบลมอนต์ รีพอร์ตแต่อย่างใด

  1. มีงานวิจัยพบว่าชาวอเมริกันครึ่งล้านคนต้องเสียชีวิตเพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ขัดขวางการใช้ยา Ivermectin และ Hydroxychloroquine รักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเริ่มต้น (พิสูจน์ไม่ได้)

โรเบิร์ต มาโลน อ้างว่าประเทศจีน, ญี่ปุ่น และอินเดีย ประสบความสำเร็จจากการใช้ยา Ivermectin และ Hydroxychloroquine รักษาผู้ป่วยโควิด 19 โดยเฉพาะรัฐอุตตรประเทศในอินเดีย ที่อ้างว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงอย่างรวดเร็ว หลังรัฐบาลสนับสนุนให้ใช้ยา Ivermectin รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาการไม่รุนแรง

อย่างไรก็ดี ในการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมขนาดใหญ่ ซึ่งมีความน่าเชื่อถืออย่างสูง ไม่พบว่าการใช้ยา Ivermectin และ Hydroxychloroquine มีประโยชน์ต่อการป้องกันหรือรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จึงไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า การใช้ยา Ivermectin คือปัจจัยที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในรัฐอุตตรประเทศลดลง นอกจากนี้ ราจิบ ดาสกุบตะ นักระบาดวิทยายังชี้แจงต่อเว็บไซต์ The Conversation ว่า ปัจจัยที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในอินเดียลดลง น่าจะมาจากอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและการเกิดภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มประชากร

โรเบิร์ต มาโลน ยังอ้างว่ายา Ivermectin และ Hydroxychloroquine เป็นหนึ่งในยาที่มีความปลอดภัยสูงที่สุด เนื่องจากยาทั้ง 2 ชนิดถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักขององค์การอนามัยโลก (Model List of Essential Medicines)

อย่างไรก็ดี สถานะดังกล่าวจะอ้างได้ก็ต่อเมื่อตัวยาถูกใช้อย่างเหมาะสมและในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ใช้ถูกใช้ในฐานะยาต้านไวรัสสำหรับผู้ป่วยโควิด 19 โดยปัจจุบันหน่วยงานสาธารณสุข ทั้งองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ต่างไม่แนะนำให้ใช้ยา Ivermectin และ Hydroxychloroquine รักษาผู้ป่วยโควิด 19 นอกจากเพื่อการทดลองทางคลินิก

  1. มีงานวิจัยกว่า 140 ชิ้นที่ยืนยันว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติมีประสิทธิผลเหนือภูมิคุ้มกันจากวัคซีน (ทำให้เข้าใจผิด)

หนึ่งในงานวิจัยที่ โรเบิร์ต มาโลน ยกมากล่าวอ้าง คืองานวิจัยในประเทศอิสราเอลที่พบว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน มีโอกาสติดเชื้อและรักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะโควิด-19 น้อยกว่ากลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสถึง 13 เท่า

อย่างไรก็ดี งานวิจัยที่กล่าวอ้างยังอยู่ในสถานะงานวิจัยก่อนการตีพิมพ์ (Preprint) ซึ่งยังไม่ผ่านการประเมินความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิชาการ และพบว่าเป็นงานวิจัยมีความลำเอียงหลายส่วน เช่น พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ฉีดวัคซีน เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงติดเชื้อสูง (ความลำเอียงด้านการเลือกกลุ่มตัวอย่าง) และมีการนำผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ออกไปจากกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติ (ความลำเอียงด้านการคัดเลือกผู้รอดชีวิต)

แม้จะพบว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อและภูมิคุ้มกันจากวัคซีน มีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อในอนาคตทั้งคู่ แต่ความแตกต่างคือ ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนมีความปลอดภัยมากกว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติที่เกิดจากการติดเชื้อโดยตรง

นอกจากนี้ ข้อมูลด้านภูมิคุ้มกันวิทยายังพบว่า ผู้รับเชื้อแต่ละคนจะมีระดับภูมิคุ้มกันธรรมชาติไม่เท่ากัน มีผู้ป่วยบางคนที่หายป่วยจากโควิด-19 โดยที่ร่างกายไม่สร้างแอนติบอดีต่อไวรัสโควิด 9 เลย และยังเสี่ยงที่จะกลับมาติดเชื้ออีกครั้งในเวลาอันสั้น

งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการฉีดวัคซีนกระตุ้นระดับภูมิคุ้มได้อย่างดี ซึ่งหน่วยงานป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ยังแนะนำให้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการฉีดวัคซีนอีกด้วย

  1. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิด-19 มีความเสี่ยงเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนมากกว่า (ทำให้เข้าใจผิด)

โรเบิร์ต มาโลน อ้างว่าผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 แล้วไปฉีดวัคซีน จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่าง ทั้งหัวใจเต้นผิดปกติ, ความดันโลหิตสูง, โรคลมหลับ, อาการขาอยู่ไม่สุข และอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นอาการที่มักพบในกลุ่มผู้รับวัคซีนที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน

แม้ข้อมูลจาก U.K. ZOE COVID หน่ายงานวิจัยในสหราชอาณาจักร จะพบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน เมื่อฉีดวัคซีนจะมีโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์มากว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า แต่อาการข้างเคียงส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการรุนแรงเหมือนที่ โรเบิร์ต มาโลน กล่าวอ้าง อาการที่พบบ่อยคือความอ่อนล้า, ปวดศีรษะ, หนาวสั่น, ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ, และการเป็นไข้ และไม่พบรายงานการเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลแม้แต่รายเดียว

ทอม สเปนเซอร์ ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาพันธุศาสตร์ มหาวิทยาลัย King’s College London และหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ U.K. ZOE COVID ชี้แจงว่า ถึงแม้ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 จะมีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงจากวัคซีนมากกว่า แต่อาการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ร่างกายของผู้ที่เคยติดเชื้อตอบสนองต่อการกระตุ้นของวัคซีนได้ดีกว่า และคาดว่าจะได้รับการป้องกันที่ดีกว่า แม้จะฉีดวัคซีนแค่เข็มเดียว

สอดคล้องกับผลวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine ที่พบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 เมื่อฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ระดับแอนติบอดี้จะเทียบเท่าหรือสูงกว่าคนทั่วไปที่ฉีดวัคซีน mRNA ครบ 2 โดส

  1. อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีน มีความรุนแรงจนผู้ป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล โอกาสเกิดสูงถึง 1 ต่อ 2,700 คน (ทำให้เข้าใจผิด)

ข้ออ้างดังกล่าว นำมาจากการศึกษาในฮ่องกงและตีพิมพ์ในวารสาร Clinical Infectious Diseases ของมหาวิทยาลัย Oxford University เป็นการศึกษาอาการหัวใจอักเสบในเยาวชนอายุ 12 ถึง 17 ปีที่รับวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท Pfizer-BioNTech

อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่ โรเบิร์ต มาโลน กล่าวอ้าง คือโอกาสการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเยาวชนเพศชายหลังรับวัคซีนเข็มที่ 2 เท่านั้น ส่วนอัตราส่วนการเกิดอาการทั้งหมดจะอยู่ที่ 1 ต่อ 5,400 คน

นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังแตกต่างจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขฮ่องกง ที่พบว่าอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 มีสัดส่วนเพียง 1.6 ต่อ 100,000 คน สอดคล้องกับผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกา, อิสราเอล และเดนมาร์ก ที่พบสัดส่วนอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดวัคซีนโควิด 19 เพียง 0.5 ถึง 5.7 ต่อ 100,000 คน

ส่วนข้ออ้างที่ว่าอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีนมีความรุนแรงก็ไม่เป็นความจริง เพราะส่วนใหญ่อาการที่พบจะไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองในเวลาไม่กี่วัน นอกจากนี้ยังพบว่าการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและภาวะแทรกซ้อนทางด้านหัวใจมากกว่าการฉีดวัคซีนถึง 5 เท่า

  1. ลิปิดในวัคซีน mRNA จะเข้าไปอยู่ในรังไข่ และจะส่งผลต่อประจำเดือนของสตรี (ข้อมูลเท็จ)

โรเบิร์ต มาโลน อ้างว่าวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA จะทำให้การเจริญพันธุ์ของผู้รับวัคซีนมีปัญหา โดยอ้างว่า อนุภาคนาโนของลิปิด ซึ่งทำหน้าที่ห่อหุ้มและลำเลียง mRNA เข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปอยู่ในรังไข่ของผู้หญิง ซึ่งโอกาสจะเกิดสูงถึง 11%

ข้ออ้างดังกล่าว เป็นการบิดเบือนรายงานที่ Pfizer ส่งไปให้หน่วยงานเภสัชกรรมและเครื่องมือแพทย์ (PMDA) ของประเทศญี่ปุ่นพิจารณา โดยเนื้อหาในรายงานกล่าวถึงการกระจายตัวของอนุภาคนาโนของลิปิดที่พบในเนื้อเยื่อบริเวณต่างๆ ในหนูทดลองที่ฉีดอนุภาคนาโนของลิปิดเข้าร่างกาย โดยพบว่าอนุภาคนาโนของลิปิดส่วนใหญ่จะพบแค่บริเวณที่ฉีดยา และพบการเจือปนที่รังไข่สูงสุดแค่ 0.095% เท่านั้น

แม้จะมีรายงานพบว่า ผู้หญิงหลายคนที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 มีปัญหารอบประจำเดือนมาไม่ปกติ เช่น มีอาการเลือดออกระหว่างมีประจำเดือนที่นานกว่า, มากกว่า หรือเจ็บปวดมากกว่าเดิม

ในช่วงแรก ข้อมูลด้านผลกระทบต่อประจำเดือนจากวัคซีนโควิด-19 ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เนื่องจากข้อมูลในระหว่างการทดลองมีจำกัด

กระทั่งเดือนมกราคมปี 2022 ที่ผ่านมา มีการวิจัยที่ตีพิมพ์ทางวารสาร Obstetrics & Gynecology เป็นการศึกษารอบประจำเดือนของผู้หญิงที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 4,000 คน โดยใช้แอปพลิเคชันตรวจสอบภาวะเจริญพันธุ์ เพื่อเปรียบเทียบรอบการมีประจำเดือนระหว่างก่อนและหลังฉีดวัคซีน ผลปรากฏว่าหลังจากฉีดวัคซีน รอบประจำเดือนจะนานกว่าก่อนฉีดวัคซีนด้วยจำนวนเวลาไม่ถึง 1 วัน ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ

นอกจากนี้ผลการตรวจสอบความปลอดภัยของวัคซีนยังยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 ไม่ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ในเพศชายและหญิงแต่อย่างใด

  1. โปรตีนหนาม ทั้งจากไวรัส, อะดีโนไวรัส หรือจากวัคซีนล้วนเป็นพิษต่อร่างกาย (ข้อมูลเท็จ)

โรเบิร์ต มาโลน อ้างงานวิจัยที่พบว่า โปรตีนหนามจากวัคซีนโควิด-19 เป็นพิษต่อร่างกาย และนำไปสู่อาการไม่พึงประสงค์หลายอย่าง ทั้ง ลิ่มเลือดอุดตัน, สมองอักเสบ และภาวะภูมิต้านตนเอง เนื่องจากงานวิจัยพบว่าโปรตีนหนามปริมาณมากได้เข้าสู่กระแสเลือดของสัตว์ทดลอง

อย่างไรก็ดี อูริ มานอร์ นักชีวฟิสิกส์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิจัยจากสถาบัน Salk Institute และเจ้าของงานวิจัยที่ โรเบิร์ต มาโลน กล่าวอ้าง ชี้แจงผ่านทาง Twitter ว่า ปริมาณโปรตีนหนามที่พบในกระแสเลือดของสัตว์ทดลองเป็นผลจากการติดเชื้อไวรัส ไม่ได้เกิดจากวัคซีน ส่วนปริมาณโปรตีนหนามจากวัคซีนที่พบในกระแสเลือดของมนุษย์มีปริมาณน้อยมาก และไม่มีหลักฐานว่าโปรตีนหนามจากวัคซีน mRNA เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด

  1. การฉีดวัคซีน 3 เข็ม ก่อให้เกิดประสิทธิผลลบกับไวรัสโอไมครอน ผู้ฉีดเสี่ยงติดเชื้อยิ่งขึ้นจากภาวะ ADE (ทำให้เข้าใจผิด)

โรเบิร์ต มาโลน อ้างงานวิจัยจากประเทศเดนมาร์ก ที่พบว่าประสิทธิผลของวัคซีนลดลงตามจำนวนการฉีดวัคซีน และยังเชื่อมโยงประสิทธิผลที่ลดลงของวัคซีนกับภาวะ ADE หรือการเร่งโดยอาศัยแอนติบอดี (Antibody-Dependent Enhancement) ปรากฏการณ์ที่แอนติบอดี้ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านไวรัส กลับช่วยให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายขึ้น ทำให้ผู้ที่มีอาการ ADE เสี่ยงต่อการป่วยหนักและเสียชีวิต

อย่างไรก็ดี งานวิจัยที่กล่าวอ้างเป็นงานวิจัยก่อนการตีพิมพ์ (Preprint) ซึ่งยังไม่ผ่านการประเมินความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิชาการ โดย คริสเตียน โฮล์ม แฮนเซน เจ้าของงานวิจัยยืนยันว่า โรเบิร์ต มาโลน ตีความผลวิจัยไม่ถูกต้อง

ที่ผ่านมาไม่พบว่าวัคซีนโควิด 19 ก่อให้เกิดอาการ ADE ตามที่กล่าวอ้าง นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเสริมสร้างระดับภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น แม้ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนจะทำให้ประสิทธิผลของวัคซีนลดลง แต่วัคซีนยังสามารถป้องกันการป่วยหนักจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ถึง 70%

  1. การฉีดวัคซีนซ้ำๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันหยุดทำงาน จากปรากฏการณ์ High Zone Tolerance (ทำให้เข้าใจผิด)

High Zone Tolerance คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันหยุดการตอบสนอง เมื่อตรวจจับแอนติเจนของเชื้อโรคในปริมาณมากและบ่อยเกินไป

มาร์โค คาวาเลรี หัวหน้าฝ่ายวางแผนวัคซีนขององค์การยาของสหภาพยุโรป (EMA) อธิบายผ่านการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 11 มกราคมปี 2022 ว่า ปรากฏการณ์ High Zone Tolerance จะเป็นที่น่ากังวลหากว่ามีการกำหนดให้ผู้คนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นถี่เกินไป เช่นฉีดทุกๆ 4 เดือน

แต่ปัจจุบันยังไม่หลักฐานว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่ละโดสตามระยะที่เหมาะสม จะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ High Zone Tolerance แต่อย่างใด ซึ่ง มาร์โค คาวาเลรี ยังย้ำถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อเสริมสร้างระดับภูมิคุ้มกัน

  1. ปาเลสไตน์ฉีดวัคซีนน้อยกว่าอิสราเอล แต่อิสราเอลเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า (ข้อมูลเท็จ)

ข้อมูลจาก Our World In Data เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ปี 2022 พบว่า อัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 1 ถึง 3 เข็มในประเทศอิสราเอลอยู่ที่ประมาณ 72%, 66%, และ 56% ส่วนอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 1 ถึง 3 เข็มในประเทศปาเลสไตน์อยู่ที่ 43% 31% และ 0.1%

แม้อิสราเอลจะมีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงกว่าปาเลสไตน์อย่างมาก แต่การอ้างว่าอิสราเอลมีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่าปาเลสไตน์เป็นการอ้างที่ไม่ถูกต้อง เพราะในช่วงเวลาที่โรเบิร์ต มาโลนกล่าวอ้าง ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ต่อประชากร 1 ล้านคนในปาเลสไตน์มีสูงกว่ายอดผู้เสียชีวิตในอิสราเอล

นอกจากนี้ การนำยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ใน 2 ประเทศมาเปรียบเทียบ ไม่อาจใช้เป็นหลักฐานยืนยันประสิทธิผลของวัคซีนได้ เนื่องจากมีตัวแปรหลายอย่างที่ต้องพิจารณา ทั้งด้านข้อมูลประชากรและความสามารถในการตรวจหาเชื้อ และการแจ้งยอดผู้ติดเชื้อ

  1. เชื้อโอไมครอนทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการไม่รุนแรง แต่แพร่เชื้อได้ง่ายและสามารถติดได้ทุกคน ไม่ว่าจะสวมหน้ากาก, เว้นระยะห่างทางสังคม หรือฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม (ขาดบริบท)

แม้ผู้ติดเชื้อโอไมครอนส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง แต่ก็มีผู้ป่วยไม่น้อยที่ติดเชื้อโอไมครอนแล้วป่วยหนักจนต้องรักษาตัวโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนไม่ให้มองว่าเชื้อโอไมครอนเป็นไวรัสที่ไม่รุนแรง เพราะการติดเชื้อคราวละมากๆ อาจส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลก

แม้เชื้อโอไมครอนจะลดทอนประสิทธิผลการป้องกันการติดเชื้อของวัคซีน แต่ข้อมูลเบื้องต้นในประเทศแอฟริกาใต้พบว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ครบ 2 โดส ป้องกันการรักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากโควิด 19 ได้ถึง 70%

ส่วนสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักร (UKHSA) เปิดเผยรายงานว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ช่วยยืดระยะเวลาป้องกันและลดการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะการติดเชื้อโควิด-19 ได้ถึง 90%

  1. คนกลัวโควิด 19 จากสภาวะ Mass Formation Psychosis (ข้อมูลเท็จ)

โรเบิร์ต มาโลน ให้ข้อสรุปในรายการ Joe Rogan Experience ว่า การตื่นกลัวของผู้คนในสังคมระหว่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 คือสภาวะที่เรียกว่า Mass Formation Psychosis ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อผู้คนจำนวนมากถูกชักจูงใช้เชื่อในสิ่งที่อยู่นอกเหนือเหตุและผล โดยเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกับประเทศเยอรมนีช่วงทศวรรษที่ 20 และ 30 เมื่อชาวเยอรมันผู้มีการศึกษา ถูกสะกดจิตให้หลงเชื่อผู้นำของชาติ นำไปสู่ยุคแห่งการเรืองอำนาจของนาซี

เจย์ แวน บาเวล รองศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยา มหาวิทยาลัย New York University ผู้ศึกษาเรื่องเอกลักษณ์กลุ่มและพฤติกรรมหมู่มากว่า 2 ทศวรรษ ยืนยันว่า Mass Formation Psychosis ไม่จัดว่าเป็นอาการที่มีอยู่จริงในทางวิชาการ

สตีเวน เจย์ ลินน์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Binghamton University ในนิวยอร์ก ชี้แจงว่า การอ้างว่าฝูงชนสามารถถูกล่อลวงและชักจูงให้ไปทางไหนก็ได้ เป็นเพียงความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของวิธีสะกดจิตเท่านั้น

คริส คุกกิ้ง อาจารย์ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ประยุกษ์ มหาวิทยาลัย University of Brighton ชี้แจงว่า แม้จะมีหลักฐานว่า ฝูงชนสามารถถูกโน้มน้าวด้วยพฤติกรรมของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ความเชื่อที่ว่า คนจำนวนมากสามารถถูกสะกดจิตจนไม่สามารถควบคุมการกระทำของตนเองได้ เป็นแค่ความเชื่อที่ปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน

ข้อมูลอ้างอิง:

https://healthfeedback.org/claimreview/robert-malone-misleading-unsubstantiated-claims-covid-19-safety-efficacy-vaccines-joe-rogan-experience-spotify-podcast/

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“สุชาติ” จ่อลาออก สส. ให้สภามี สส.ทำงาน

ทำเนียบ 7 ก.ค.-“สุชาติ” เผยเตรียมลาออก สส. เพื่อให้บัญชีรายชื่อลำดับถัดไปได้ขึ้นมา มองให้สภามี สส.ทำงาน นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงธรรมเนียมปฏิบัติของคนที่เป็น สส.ระบบบัญชีรายชื่อ จะลาออกเมื่อเป็นรัฐมนตรี หรือไม่ว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการลาออกแต่โดยธรรมเนียมก็ควรจะลาออก เพราะการทำหน้าที่ของรัฐมนตรีก็เต็มเวลาอยู่แล้ว ไม่มีเวลาที่จะไปช่วยงานสภา ซึ่งขณะนี้สภาเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งตนมีความตั้งใจที่จะลาออกจาก สส ระบบบัญชีรายชื่ออยู่แล้ว เพื่อให้ สส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปได้เลื่อนขึ้นมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สส. ลำดับถัดไปที่จะขึ้นมาเป็น สส.แทนนายสุชาติ คือ นายเอกพร รักความสุข บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 38.-316.-สำนักข่าวไทย

พม.ร้องเอาผิด “จอนนี่ มือปราบ” สร้างรีสอร์ทรุกล้ำที่ส่วนกลาง

บก.ปทส. 7 ก.ค. – จนท.กรมพัฒนาสังคมฯ ร้องตำรวจป่าไม้ตรวจสอบปมรีสอร์ทของ “จอนนี่มือปราบ” อินฟลูชื่อดัง บุกรุกพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย ในอุบลราชธานี และถูกข่มขู่ไม่ให้เข้าพื้นที่ นายวัชระ โกเสนตอ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ได้รับมอบอำนาจจากนายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำหลักฐานเอกสารเข้าแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. เพื่อให้ดำเนินคดีกับ ด.ต.ยุทธพล หรือ “จอนนี่ มือปราบ” อดีตตำรวจที่ผันตัวลาออกจากราชการมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ กรณีสร้างรีสอร์ทรุกเข้าไปในเขตนิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี นายวัชระ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาสังคมฯ รับแจ้งจากนิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย ว่ามีผู้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยส่วนที่รุกล้ำเข้ามาเป็นพื้นที่ที่นิคมกันไว้เป็นป่าไม้ส่วนกลาง 20% รุกล้ำเข้ามาประมาณ 1 ไร่ และเริ่มก่อสร้างรีสอร์ทเมื่อปี 2564 เป็นต้นมา และทางกรมฯ ก็ได้ลงบันทึกประจำวันและมีหนังสือให้ระงับการดำเนินการรีสอร์ทมาตั้งแต่ปี 2565 แต่เจ้าของรีสอร์ทไม่ให้ความร่วมมือ และยังมาโวยวายที่นิคมฯ ข่มขู่เจ้าหน้าที่ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปที่รีสอร์ท ทั้งนี้นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย มีพื้นที่ตามแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองฯ ชัดเจน เนื้อที่ […]

Camp Mystic after Texas floods

เปิดภาพความเสียหายน้ำท่วมแคมป์ในเท็กซัส

เท็กซัส 6 ก.ค.- ทีมกู้ภัย อาสาสมัครและตำรวจ ช่วยกันรื้อถอนเศษซากความเสียหายและซากต้นไม้กิ่งไม้ใกล้ที่ตั้งแคมป์ในรัฐเท็กซัสของสหรัฐ ซึ่งมีนักเรียนหญิง 27 คน สูญหายจากเหตุน้ำท่วมฉับพลันที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ามืดวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น   ค่ายมิสติก (Camp Mystic) เป็นค่ายกิจกรรมนักเรียนหญิงล้วน มีนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมในค่าย 700 คน ในช่วงที่เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันครั้งใหญ่ในเทศมณฑลเคอร์ ทางตอนกลางของรัฐเท็กซัส แคมป์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกัวดาลูปในแถบหุบเขาตอนกลางรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่เกิดน้ำท่วม ก่อตั้งโดยโค้ชฟุตบอลมหาวิทยาลัยเท็กซัส เมื่อเกือบหนึ่งร้อยปีก่อนในปี 2469 เพื่อให้เยาวชนหญิงได้สัมผัสบรรยากาศแบบคริสเตียนในการพัฒนาตนเอง.-820(814).-สำนักข่าวไทย

กรมอุตุฯ เตือน 4 ภาครับมือฝนถล่ม ระวังน้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก

กทม. 6 ก.ค.- กรมอุตุฯ เผยประเทศไทยยังมีฝนฟ้าคะนอง เตือน “เหนือ อีสาน ตะวันออก ใต้” รับมือฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเมียนมาตอนบนและลาวตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุโซนร้อน “ดานัส” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ไต้หวัน ในช่วงวันที่ 6–7 กรกฎาคม 2568 โดยไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย แต่จะทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ผบ.กองกำลังนเรศวร ลงพื้นที่ หลังเมียนมาปะทะรุนแรง

ตาก 12 ก.ค. – ผบ.กองกำลังนเรศวร ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ด่วน พร้อมเฝ้าระวังชายแดนอำเภอพบพระอย่างใกล้ชิด หลังเหตุปะทะในเมียนมาทวีความรุนแรง มีรายงานการโจมตีค่ายทหารเมียนมาด้วยโดรน กองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นแอลเอ กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ใช้โดรนทิ้งระเบิดโจมตีใส่ฐาน “ทีตาแหล่” ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามบ้านวาเล่ย์เหนือ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก หลายครั้ง ขณะที่ทหารเมียนมาก็ยิงปืนเล็กยาวตอบโต้ โดยยังไม่ทราบความเสียหายที่เกิดขึ้น และยังไม่มีรายงานผลกระทบต่อฝั่งประเทศไทย พลตรีไมตรี ชูปรีชา ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร พร้อมคณะนายทหารระดับสูง และฝ่ายปกครองอำเภอพบพระ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์บริเวณบ้านวาเล่ย์ และบ้านมอเกอร์ไทย อำเภอพบพระ อย่างใกล้ชิด เพื่อประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงในการเตรียมแผนเผชิญเหตุจากผลกระทบของการสู้รบใกล้แนวชายแดนในด้านมนุษยธรรม โดยขณะนี้มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาจำนวน 457 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว 2 แห่ง ในอำเภอพบพระ และได้รับการดูแลตามหลักมนุษยธรรมภายใต้ความร่วมมือของศูนย์สั่งการชายแดนประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดตาก และแนวทางของสภาความมั่นคงแห่งชาติ พลตรี ไมตรี เน้นย้ำให้หน่วยเฉพาะกิจราชมนู ร่วมกับฝ่ายปกครอง เพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยของกองกำลังติดอาวุธต่างชาติ และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกองกำลังนเรศวรยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้ง และไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการใช้พื้นที่ประเทศไทยเพื่อประโยชน์ของตนเอง .-สำนักข่าวไทย

สองสาวใหญ่ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกมือถือ

กทม. 12 ก.ค. – สองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกโทรศัพท์มือถือลอยนวล พบเคยเข้ามาขอเงินหลวงตาแล้วครั้งหนึ่ง กล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะ ผู้หญิง 2 คนเข้าไปในกุฏิที่พระสงฆ์นอนอาพาธอยู่ คนหนึ่งนั่งพื้นส่วนอีกคนยืนอยู่แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนเตียงนอนไป เหตุการณ์นี้ นายมนูญ อายุ 29 ปี หลานชายของพระลูกวัดแห่งหนึ่ง ในซอยประชาอุทิศ 27 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ให้ช่วยตามหาสองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิ “หลวงตาสุข” อายุ 80 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคประจำตัว ประกอบกับอายุมากเดินได้ไม่ปกติ โดยหลวงตาสุข เป็นพระลูกวัด พักอยู่กุฏิด้านหลังโบสถ์ เมื่อวานนี้ (11 ก.ค.) ประมาณ 13.45 น. ขณะกำลังนอนพักผ่อนอยู่ มีหญิงร่างท้วม 2 คนเข้าไปในกุฏิ จากนั้นคนใส่เอี๊ยมสีเขียวผมสั้นลงมือค้นหาสิ่งของบนหัวเตียง ส่วนอีกคนที่มาด้วย คอยดูต้นทาง จนกระทั่งหญิงคนที่รื้อหาสิ่งของมองเห็นโทรศัพท์มือถือ ราคาประมาณ 4,000 บาท ของพระที่วางไว้หัวเตียง […]

“บิ๊กเต่า” ให้โอกาสคณะสงฆ์ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง

กทม. 12 ก.ค.-“บิ๊กเต่า” ให้โอกาสคณะสงฆ์ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเอี่ยวสีกากอล์ฟ เชื่อพระเป็นเหยื่อ หากไม่เสร็จพร้อมดำเนินการ เผยอดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ เข้าให้ข้อมูล เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง วันนี้ (12 ก.ค.) หลังจากอดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร เข้าให้ปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ เมื่อเวลา 12.30 น. แต่งกายด้วยชุดโปโลสีเทา กางเกงวอร์มขายาว ผู้สื่อข่าว พยายามสอบถามว่าเข้ามาให้ปากคำกรณีที่ปรากฏอยู่ในคลิปหรือไม่ ทางอดีตผู้ช่วยเจ้าวาสไม่ตอบ เมื่อถามเพิ่มเติมว่า คลิปที่ปรากฏอยู่ตอนนนี้ ใช่ตัวเองจริงหรือไม่ อดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร ปิดปากเงียบ ไม่มีการให้ข้อมูลอะไรกับสื่อมวลชน ก่อนที่จะเดินขึ้นไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้ากองปราบด้านบน จากนั้นในเวลา 14.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยเดินทางขึ้นตึกด้านหลัง ใช้ลิฟต์ลานจอดรถ หลังเดินทางกลับจากวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร โดยหลบผู้สื่อข่าวที่มารออยู่ด้านหน้า และได้สอบปากคำอดีตพระครูสิริวิริยธาดา ในเวลา 16.20 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ให้สัมภาษณ์ว่าการหารือกับพระผู้ใหญ่ในวันนี้ ก็ถือเป็นการทำงานร่วมกันกับ ปปท. ซึ่งมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ […]

อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร ย่องให้ข้อมูลตำรวจกองปราบ

12 ก.ค. – อดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร แอบย่องเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจกองปราบ เวลา 12.05 น. วันที่ 12 กรกฎาคม 2568 อดีตพระครูสิริวิริยธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร เข้าให้ปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ เบื้องต้นส่วมชุด โปโลสีเทา กางเกงวอร์มขายาว ผู้สื่อข่าว พยายามสอบถามว่าวันนี้เข้ามาให้ปากคำกรณีที่ ปรากฏอยู่ในคลิปหรือไม่ ทางอดีตผู้ช่วยเจ้าวาสวัดโสธรฯ ไม่ตอบแต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวสอบถามเพิ่มเติมต่ออีกว่า คลิปที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ ใช่ตัวเองจริงหรือไม่นั้น ด้านอดีตพระครูสิริวิริยธาดา ปิดปากเงียบ ไม่มีการให้ข้อมูลอะไรกับสื่อมวลชน ก่อนที่จะเดินขึ้นไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้ากองปราบด้านบน.-414-สำนักข่าวไทย