รพ.ตำรวจ 3 ต.ค. – ครอบครัวและกลุ่มเพื่อนเดินทางมาที่สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ เข้ารับศพหญิงอายุ 30 ปี ที่ถูกแฟนหนุ่มอายุ 35 ปี ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ นำไปฝังดินใต้ทางด่วน บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า
พ่อของผู้เสียชีวิต ยืนดูรูปลูกสาวแล้วร้องไห้ โดยได้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาลูกสาวไม่เคยเล่าเรื่องผู้ชายคนนี้ให้ฟังเลย ส่วนมากจะเล่าแต่เรื่องงาน และไม่เคยเห็นลูกทำอะไรไม่ดี ก่อนหน้านี้ตอนวันเกิดลูกสาว ตนส่งข้อความไปอวยพรแต่ลูกสาวไม่ตอบจึงเอะใจ พยายามตามหาลูกสาวและเช็กสัญญาณโทรศัพท์มือถือแต่ก็ติดต่อไม่ได้ มาทราบอีกทีตอนเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรมาแจ้งว่าลูกสาวเสียชีวิตแล้ว ซึ่งทำใจไม่ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ตนไม่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการพลั้งมือ แต่เชื่อว่าผู้ต้องหามีเจตนา จึงอยากให้ผู้ต้องหาได้รับโทษสูงสุดเท่าที่กฏหมายมี เพราะสิ่งที่ทำมันเกินมนุษย์ พ่อแม่เลี้ยงลูกมาก็รัก ส่วนกับผู้ต้องหาตนไม่อยากพูดอะไรด้วย เพราะมองว่าเขาไม่ใช่คน ถ้ามีความเป็นคนคงไม่ทำแบบนี้ ตอนเห็นสภาพลูกก็รับไม่ได้ คนเป็นพ่อเป็นแม่ ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะร้อง
นอกจากนี้ คุณพ่อยังบอกด้วยว่า เพิ่งวางแผนกับลูกสาวว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันในช่วงฤดูหนาว เพราะลูกสาวชอบอากาศหนาว แต่กลับมาเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นก่อน
ด้านแม่ของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตนกับลูกสาวไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน โดยตนอาศัยอยู่ที่ จ.กาฬสินธุ์ แต่จะคุยกับลูกทางโทรศัพท์ตลอด ก่อนหน้านี้ลูกสาวก็เคยเล่าเรื่องผู้ชายคนนี้ให้ฟังอยู่บ้าง แต่ไม่ได้บอกรายละเอียด เพราะลูกสาวค่อนข้างเก็บตัว ตนก็ปล่อยให้ลูกตัดสินใจเองเพราะโตแล้ว ก็ได้แต่เตือนว่าให้ระมัดระวัง เพราะทำงานต้องเจอคนเยอะและเป็นคนหน้าตาดี อะไรที่ผิดก็อย่าเข้าไปยุ่ง ทั้งนี้ตนก็ไม่ได้คุยกันกับลูกสาวนานแล้ว แต่ได้ส่งข้อความไปอวยพรวันเกิดเมื่อวันที่ 27 ก.ย. แต่ลูกไม่อ่านและไม่ตอบเลย จึงรู้สึกผิดสังเกต กลัวลูกเป็นอะไร ยังคิดอยู่ว่าถ้าฝนหยุดตกหนัก ตนจะเดินทางมาหาลูกที่กรุงเทพฯ ส่วนตอนนี้ยังทำใจไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ตนนั่งทำกรรมฐาน ตั้งใจจะอุทิศให้ลูก ก็ทำไม่ได้ เป็นลมในห้องพระ ส่วนกับผู้ก่อเหตุ อยากถามว่าทำไปทำไม และอยากให้ลงโทษถึงที่สุด เพราะกลัวว่าในอนาคตจะได้พ้นโทษออกมาแล้วเป็นภัยต่อสังคม เพราะสิ่งที่ทำมีการไตร่ตรองวางแผนไว้ก่อน และมีสติครบทุกอย่าง หลังเกิดเหตุก็ไม่มีท่าทีสำนึกผิด จึงไม่ควรได้รับโอกาส
ขณะที่หนึ่งในเพื่อนของผู้เสียชีวิต ระบุว่า ยังไม่พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ได้ให้ข้อมูลว่า ในวันเกิดเหตุ (28 ก.ย.) ได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้างานของผู้เสียชีวิต แจ้งว่าผู้เสียชีวิตหายตัวไป ไม่มาทำงาน และติดต่อไม่ได้ จึงขอให้ช่วยติดต่ออีกทาง โดยหัวหน้า เล่าว่า มีลูกค้าคนหนึ่งโทรไปถามเรื่องงาน แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้เสียชีวิตตะโกนว่า “เฮ้ย อะไร” ก่อนจะมีเสียงวิ่ง และโทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไป ลูกค้าเห็นท่าไม่ดี จึงติดต่อมาที่หัวหน้า พอทราบเรื่องก็พยายามติดต่อหาคนใกล้ตัว แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
วันต่อมา (29 ก.ย.) เพื่อนสนิทของอีกคนซึ่งอยู่ที่นครราชสีมา ได้ติดต่อไปหาผู้ต้องหา เพื่อสอบถามว่า ได้อยู่ผู้เสียชีวิตหรือไม่ แต่ผู้ต้องหาบอกว่า ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกนะ
ทั้งนี้ เพื่อนบอกว่า ที่ไม่ติดต่อผู้ต้องหาตั้งแต่วันแรก เพราะเมื่อเดือน ต.ค.64 ผู้เสียชีวิตเคยบอกว่า จะตีตัวออกห่างจากผู้ชายคนนี้แล้ว และเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ตนเองได้พบกับผู้เสียชีวิต ซึ่งก็ไม่ได้พูดถึงผู้ต้องหาแต่อย่างใด จึงเข้าใจว่าเลิกติดต่อกันแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากได้ฟังคำให้การของผู้ต้องหา ยังติดใจที่บอกว่าแทงที่คอแล้วเสียชีวิตเลย เพราะสายสุดท้าย ลูกค้ายืนยันว่าได้ยินเสียงวิ่ง จึงเชื่อว่าน่าจะเกิดเหตุทะเลาะกันก่อน
โดยในวันนี้ หลังจากรับร่างแล้ว ครอบครัวจะนำร่างไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิด วัดบูรพาภิราม จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งจะสวดอภิธรรมเพียงคืนเดียว และจะฌาปนกิจในวันถัดไป เนื่องจากครอบครัวและเพื่อนอยากให้หมดทุกข์และไปสบายให้เร็วที่สุด. -สำนักข่าวไทย