fbpx

มอบรางวัลผลงานวิจัยเด่นรับมือโควิด-19

กทม. 24 ธ.ค.63 – กางแผนยุทธศาสตร์ ปี 64 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ฯ พร้อมมอบรางวัล 10 ผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่นรับมือวิกฤตโควิด19  กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดงานแถลงแผนยุทธศาสตร์กระทรวง อว. ประจำปี 2564 พร้อมเปิดงานนิทรรศการและมอบรางวัลผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่นตอบรับ ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และการปรับตัวอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติโควิด 19 พร้อมทั้งจัดนิทรรศการแสดง 10 ผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่น ช่วยประเทศในการรับมือกับภาวะการแพร่ระบาดของโควิด19  รศ.ดร.อภิศักดิ์ ธีระวิสิษฐ์  รักษาการรองผู้อำนวยการด้านการดำเนินการกองทุนและอำนวยการ สกสว. กล่าวว่ากระทรวง อว. มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานประเทศ ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยกลไกการพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อประเทศต้องประสบกับการแพร่ระบาดของโควิด19 ส่งผลกระทบในวงกว้างกับทุกภาคส่วน การสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสาธารณชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ  สกสว. ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ทำหน้าที่กำหนดทิศทางแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ผลักดันแผนสู่การปฏิบัติ และการจัดสรรงบประมาณกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีภารกิจสำคัญ สนับสนุน ส่งเสริม ขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นการขับเคลื่อนงานเชิงระบบที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ ด้วยการสร้างองค์ความรู้ต่างๆนับว่าเป็นเรื่องท้าทาย จึงได้สนับสนุนให้เกิดกิจกรรมนี้  โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ในการต่อสู้กับวิกฤติ Covid-19  กระทรวงอว. และ สกสว. มีผลงานวิจัยจำนวนมากที่ช่วยให้เราคนไทยผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal  ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติให้แก่ผู้วิจัย และผลงานวิจัยที่สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้คัดเลือกผลงานวิจัยและนวัตกรรมให้เป็นผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่น รวมทั้งจัดแสดงนิทรรศการผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่นตอบรับ ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และการปรับตัวในภาวะวิกฤติ Covid-19 โดยมีการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่น เช่น นวัตกรรมชุด PPE ฝีมือ คนไทย มาตรฐานสากล โดย กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เป็นการการพัฒนาผลงานนวัตกรรมชุด PPE รุ่นเราสู้ กันน้ำชนิดใช้ซ้ำได้ สามารถซักและใช้ซ้ำได้ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง  ,หุ่นยนต์โรยละอองยาฆ่าเชื้อ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หุ่นยนต์สามารถฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรคเป็นการลดความเสี่ยงให้แก่ผู้ปฏิบัติงานและเพิ่มประสิทธิภาพของการปฎิบัติงานให้รวดเร็วมากกว่า 2 เท่า ใช้รีโมทควบคุมระยะไกล สามารถควบคุมผ่านกล้องวงจรปิดไร้สายดูภาพผ่านหน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือจอภาพขนาดเล็กได้   โครงการ วิจัยพัฒนาชุดนวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อการป้องกัน ตรวจวินิจฉัยและบำบัดรักษาการติดเชื้อ COVID-19 โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) พัฒนาหน้ากากอนามัย WIN-Masks ทำจากผ้าเคลือบสารนาโนป้องกันไวรัส สามารถซักได้ 30 ครั้ง ผลิตและแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ จำนวนมากกว่า 200,000 ชิ้น ครีมฟ้าทะลายโจร มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อจุลชีพ 99.99% เป็นทางเลือกสำหรับผู้แพ้แอลกอฮอล์ และยังมีผลงานอื่น ๆอีกมากมายรวมทั้งสิ้น 10 ผลงานที่เป็นการใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด19ในประเทศ .-สำนักข่าวไทย

สหภาพฯกสทร้องนายกฯเลื่อนจดทะเบียนNT

กรุงเทพฯ 24 ธ.ค. สหภาพฯกสท โทรคมนาคม ร้องนายกฯ ขอเลื่อนจดทะเบียนเอ็นที นายสังวรณ์ พุ่มเทียน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (สร.กสท)   กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2563  สร.กสท ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการขอเลื่อนการควบรวมกิจการของ กสท โทรคมนาคม และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ(จำกัด ) มหาชน หรือ เอ็นที ออกไปก่อน จากเดิมที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีแผนจดทะเบียนบริษัทในวันที่ 7 ม.ค. 2564 เป็น เดือนมี.ค. 2564 แทนตามที่กฎหมายกำหนด  ทั้งนี้เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมดำเนินการ แล้วจดทะเบียนการควบรวมกิจการฯ ตามมติรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 14 ม.ค. 2563 เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีแนวทางในการปฏิบัติงานและการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับผู้เกี่ยวข้อง เช่น พนักงาน หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ใช้บริการ เพื่อให้การควบรวมกิจการครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากทุกฝ่าย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเป็นประโยชน์ของประชาชนผู้ใช้บริการ ตามที่ครม.ได้ตั้งเป้าหมายไว้ โดยที่ผ่านมารมว.ดีอีเอส ได้แต่งตั้งคณะทำงานกำหนดนโยบายแนวทาง และติดตามการดำเนินงานเกี่ยวกับการควบกิจการ ซึ่งมีการประชุมเพียง 2 ครั้ง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สร.กสท  เห็นด้วยและสนับสนุนการควบรวมกิจการ เพราะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดการลงทุนซ้ำซ้อนในการดำเนินธุรกิจของทั้งสององค์กร ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินและทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการแข่งขันกันเองให้เป็นหน่วยงานของรัฐในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและความมั่นคง เพื่อตอบสนองนโยบายสำคัญของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน แต่การควบรวมกิจการเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญยิ่ง เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย โดยได้มีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาฯ เข้ามาดำเนินงานในช่วงระยะเวลาที่ จำกัด ซึ่งยังมีอีกหลายประเด็นที่มิได้มีการวิเคราะห์แผนงานและดำเนินการบริหารความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ เช่น โครงสร้างองค์กร, ทิศทางการดำเนินธุรกิจ, การออกแบบระบบบริหารทรัพยากรบุคคลให้สอดคล้องกับโครงสร้าง, สิทธิประโยชน์ และสภาพการจ้างฯ ที่สำคัญยังไม่มีการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่พนักงาน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจและสาธารณชน บุคคลภายนอก ซึ่งตามมติครม. เมื่อวันที่ 14 ม.ค.2563 ระบุว่าต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า สิ่งใดบ้างที่จะเปลี่ยนแปลงและสภาพที่ต้องการให้เกิดขึ้นภายหลังการควบรวมเป็นอย่างไร ก็ยังไม่มีความชัดเจน  สร.กสท จึงมีความกังวลเรื่องโครงสร้าง เอ็นที ตามที่ บริษัทที่ปรึกษากำหนดมา ณ Day 1 คือ มีรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ 18 สายงาน มีผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่มากกว่า 30 คน มีผู้จัดการฝ่ายจำนวน 119 คน และผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายมากกว่า 230 คน ผู้จัดการส่วนประมาณ 2,000 คน  สร.กสท เห็นว่าการกำหนดโครงสร้างองค์กรแบบ N-3 ที่ยังไม่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงสู่กลยุทธ์องค์กร ในการจัดทำแผนธุรกิจ ทั้งในระยะกลางและระยะยาว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรให้สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน มิได้วางแผนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้ชัดเจนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทุกคนในองค์กร รวมถึงการสนับสนุน ส่งเสริมให้พนักงานเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และพิจารณากำหนดแผนการบริหารจัดการบุคคลากรรองรับ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการ ผลการปฏิบัติงานและระบบโครงสร้างเงินเดือน ที่ควรคำนึงถึงเป้าหมาย กลยุทธ์ใหม่และการเชื่อมโยงให้เห็นภาระงานที่ชัดเจนในแต่ละส่วนงานที่มาควบรวมกัน และมุ่งเสริมสร้างวิสัยทัศน์และพันธกิจองค์กรร่วมกันตามมติครม. ปัญหาที่จะเกิดขึ้น คือ โครงสร้างที่มีความซ้ำซ้อน เพิ่มขั้นตอนกระบวนการทำงาน จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและไม่เป็นหนึ่งเดียวในการทำงาน สิ้นเปลืองงบประมาณ เกินความจำเป็น จากเงินประจำตำแหน่ง ไม่มีความชัดเจนในการบริหารทรัพยากรบุคคล เช่น เส้นทางความก้าวหน้า ระบบแรงจูงใจ การประเมินผลการปฏิบัติงาน ระเบียบขั้นตอนการทำงานที่มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการที่สำคัญ คือ ขาดการสื่อสารและการสร้างความสัมพันธ์ของทั้งสององค์กรให้รวมเป็นหนึ่งเดียว ให้สอดคล้องต่อวิสัยทัศน์ และเป็นไปตามนโยบายภาครัฐให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ คือ ประหยัดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์และสภาพการจ้างสร.กสท เห็นว่า บริษัทที่ปรึกษา ต้องมีรายละเอียด และมีความจำเป็นที่พนักงานของทั้งสององค์กร ที่จะถูกโอนย้ายไปยัง เอ็นที ต้องทราบในส่วนของสิทธิประโยชน์และสภาพการจ้างฯ ตามที่รมว.ดีอีเอส  มีนโยบายให้มีการเจรจาสี่ฝ่าย ที่ประกอบไปด้วย กรรมการผู้จัดการใหญ่  กสท โทรคมนาคม และ ทีโอที ผู้แทนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กสท และ ทีโอที ที่ได้มีการประชุมเพียงครั้งเดียว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนจึงไม่สามารถชี้แจงหรือสื่อสารต่อพนักงานได้ -สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสจับมือกสทช.โอเปอเรเตอร์ส่งเอสเอ็มเอสข้อมูลโควิด-19ให้ชาวต่างชาติ

กรุงเทพฯ 23 ธ.ค. ดีอีเอส จับมือ กสทช.-5 ค่ายมือถือส่ง SMS อัพเดทข่าวสารโควิดให้ต่างชาติในไทย นายพุทธิพงษ์  ปุณณกันต์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงภายหลังประชุมร่วมกับนายสุทธิศักดิ์  ตันตะโยธิน รองเลขาธิการสายงานกิจการโทรคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้บริหารบริษัทผู้ให้บริการมือถือทั้ง 5 เครือข่าย ว่า กระทรวงฯ กำหนดแนวทางทางการแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ผ่านบริการเอสเอ็มเอส(SMS) ให้กับชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย และแรงงานต่างด้าว โดยเบื้องต้นจะมีข้อความภาษาอังกฤษ ภาษาเมียนมา และภาษากัมพูชา เพื่อให้เจ้าของภาษาเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง “เนื่องจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยรอบใหม่ โดยเฉพาะในแรงงานต่างชาติทางกระทรวงดิจิทัลฯ กสทช. และโอเปอร์เรเตอร์ จึงหารือแนวทางในการแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสารที่สำคัญไปถึงกลุ่มเป้าหมายข้างต้น ให้ทราบอย่างทั่วถึง เพื่อไม่ให้ตื่นตระหนก” นายพุทธิพงษ์กล่าว นายพุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า ข้อมูลและข้อความจะถูกสื่อสารไปตั้งแต่วันนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้าวความเข้าใจปัจจุบันมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ชาวต่างประเทศใช้งาน แบ่งเป็น ทรู 8 แสนหมายเลข ดีแทค 1 ล้านหมายเลข เอไอเอส9.9 แสนหมายเลข บริษัทกสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) 10,000 หมายเลข และบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) 4,000 หมายเลข รวมหมายเลขของคนต่างประเทศ 2,804,000 หมายเลข โดยกระทรวงฯ ได้ขอความร่วมมือกับชาวต่างชาติที่พำนักในไทย รวมถึงแรงงานต่างด้าว อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ในช่วงนี้ ส่วนกรณีที่แรงงานบางกลุ่มมีข้อกังวล ขอให้ความมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่มีการดำเนินคดีกับแรงงานต่างด้าวแต่อย่างใด หากผู้ใดพบว่าตัวเองมีอาการป่วย แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ หรือโทรสายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค ทั้งนี้ ระบบของกระทรวงสาธารณสุข มีความพร้อมในการช่วยดูแลรักษา ให้ยาเมื่อป่วย และจัดหาอาหาร/น้ำให้ระหว่างการกักตัวตลอด 14 วัน ส่วนการใช้แอปพลิเคชั่นหมอชนะ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ (24ธ.ค.) ตนจะเสนอรายละเอียดการใช้แอปพลิเคชั่นหมอชนะคู่กับไทยชนะในที่ประชุม ศบค. การใช้แอปพลิเคชั่นร่วมกันเพื่อให้ติดตามตัว และติดตามความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้จะมีการรณรงค์ให้แรงงานต่างด้าวใช้งานแอปพลิเคชั่นหมอชนะด้วยเพื่อการติดตามสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ -สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสเล็งเสนอศบค.ใช้แอปหมอชนะคู่ไทยชนะสู้โควิด-19

กรุงเทพฯ 23 ธ.ค. ดีอีเอส เร่งปรับปรุง หมอชนะ สู้โควิด-19 คาดชงที่ประชุมศบค. 24 ธ.ค. นี้  นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงฯอยู่ระหว่างการปรับปรุงแอปพลิเคชั่นหมอชนะ เพื่อเสนอ ให้นำแอปะบิเคชั่นหมอขนะมาใช้ในการติดตาม กลุ่มเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยสิ่งที่ปรับปรุงคือการทำให้รองรับผู้ใช้งานได้มากถึง 10 ล้านคน และปรับปรุงดารเข้าถึงด้วยคิวอาร์โค๊ตเดียวกับแอปพลิเคชั่นไทยชนะ โดยกระทรวงจะเสนอในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ในวันที่ 24 ธ.ค. นี้  หมอชนะ คือ แอปพลิเคชั่น ที่ใช้ติดตามและประเมินความเสี่ยง โควิด-19 เก็บข้อมูลแค่ GPS และ Bluetooth “หมอชนะ” เป็นแอพเก็บข้อมูลการเดินทางของประชาชน เพื่อประเมินความเสี่ยงได้ว่า ในบริเวณนั้นมีผู้ป่วยโควิด-19 หรือไม่ การใช้งานหมอชนะ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การให้ผู้ใช้รายงานความเสี่ยงของตัวเอง และการแจ้งเตือนผู้ใช้หากเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยง ที่มีผู้ติดโควิด-19 การใช้งานประชาชนดาวน์โหลดแอพ “หมอชนะ” บนสมาร์ทโฟน และตอบคำถามประเมินอาการของตัวเอง โดยแอพจะแบ่งระดับของความเสี่ยงเป็น 4 ระดับคือ สีเขียว สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เป็นคนที่ไม่มีอาการ ไม่มีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา สีเหลือง บุคคลที่มีความเสี่ยงน้อย ซอาจจะมีอาการไข้หวัด แต่ไม่มีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา สีส้ม สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยง เพราะเป็นคนที่มีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา แต่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการไม่เด่นชัด คนในกลุ่มนี้ต้องกักตัวอยู่กับบ้านจนครบ 14 วัน พร้อมทั้งเฝ้าระวัง ถ้ามีอาการควรรีบไปโรงพยาบาลทันที และสีแดง สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะทั้งมีอาการ และมีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา จะต้องรีบไปโรงพยาบาลทันทีเมื่อตอบคำถามครบถ้วนแอปจะรายงานพิกัดของผู้ใช้งานเข้าไปในระบบ แต่ผู้ใช้จะไม่สามารถดูได้ว่าผู้ใช้คนอื่นอยู่ที่ไหนทำได้แค่เพียงอนุญาตให้แอพแจ้งเตือนผ่าน notification หากเข้าไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งจะเช็คข้อมูลด้วย GPS และ Bluetooth ของตัวโทรศัพท์มือถือ ความสามารถในการติดตามโลเคชั่นของหมอชนะสามารถคือการแจ้งเตือนบุคคลที่เดินทางไปยังสถานที่เสี่ยง เพราะระยบจะส่งข้อความแจ้งเตือนบุคคลที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หมอชนะจึงแจ้งเตือนได้รวดเร็ว และประเมินความเสี่ยงได้ทันทีสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสโชว์ผลงานสกัดข่าวปลอมตลอดปี63

กรุงเทพฯ 22 ธ.ค. ดีอีเอส สรุปสถิติข่าวปลอมและเว็บ สื่อโซเชียลผิดกฎหมายในรอบปี 63 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงฯ ในการปราบปรามข่าวปลอม และเว็บไซต์/สื่อสังคมออนไลน์ผิดกฎหมายว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย ได้รวบรวมข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 18 ธันวาคม 2563 พบว่า มีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรองทั้งหมด 39,209,284 ข้อความ โดยมีข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์ดำเนินการตรวจสอบ 20,829 ข้อความ และหลังจากคัดกรองพบจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 7,420 เรื่อง โดยช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ การสนทนาบนโลกออนไลน์ที่เป็นกระแสเกี่ยวกับข่าวปลอม​ พบจำนวน 38,956,319 ข้อความ คิดเป็นสัดส่วนถึง ร้อยละ 99.35 รองลงมา คือ บัญชีไลน์ทางการ เฟซบุ๊กเพจและเว็บไซต์ทางการของศูนย์ฯ ตามลำดับ ทั้งนี้ เมื่อแยกประเภทข่าวที่ต้องตรวจสอบ 7,420 เรื่อง มากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 56 เป็นข่าวในหมวดสุขภาพ มีจำนวน 4,190 เรื่อง ตามมาด้วยหมวดนโยบายรัฐ 2,809 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 38 หมวดเศรษฐกิจ266 เรื่อง คิดเป็น ร้อยละ 4 และหมวดภัยพิบัติ 155 เรื่อง หรือประมาณ ร้อยละ 2 นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ด้านเพจอาสา จับตา ออนไลน์ มีประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสเว็บ/สื่อสังคมออนไลน์ผิดกฎหมายเข้ามาตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม – 17 ธันวาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 39,300 เรื่อง หรือเฉลี่ยวันละ 280 เรื่อง โดยหลังจากตรวจสอบข้อมูลมีการเก็บหลักฐานนำส่งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและดำเนินการ 16,048 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 41 ส่วนอีก 23,222 เรื่อง หรือร้อยละ 59 การตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบยูอาร์แอล/หลักฐาน โดยสาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีการลบโพสต์หรือยูอาร์แอลนั้นไปก่อนแล้วเนื่องจากเกรงกลัวการบังคับใช้กฎหมาย ส่วนที่มีการเก็บหลักฐานและส่งดำเนินการตามกฎหมาย พบว่า เป็นประเภทความผิดด้านความมั่นคง ร้อยละ 42.72 จำนวน6,855 เรื่อง ตามมาด้วย การเมือง ร้อยละ 26.43จำนวน  4,241 เรื่อง, การพนันออนไลน์ ร้อยละ 17.73 จำนวน 2,845 เรื่อง, อื่นๆร้อยละ 10.94 จำนวน 1,756 เรื่อง, การหลอกลวง ร้อยละ  1.19 จำนวน 191 เรื่อง, ข่าวปลอม ร้อยละ 0.63 จำนวน 101 เรื่องและลามก ร้อยละ 0.37 จำนวน 59 เรื่อง สำหรับการแจ้งเตือนแพลตฟอร์มต่างๆ ตามมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้ง จำนวน 8,443 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 5,494 ยูอาร์แอล โดยปิดกั้นแล้ว 3,107 ยูอาร์แอล, ยูทูป 1,755 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 1,722 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 674 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 63 ยูอาร์แอล และอื่นๆ จำนวน 520 ยูอาร์แอล ปิดกั้นแล้ว 133 ยูอาร์แอล นอกจากนี้ ที่ผ่านมากระทรวงดีอีเอส รับนโยบายรัฐบาลในการรุกกวาดล้างเครือข่ายการพนันออนไลน์อย่างจริงจัง โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ถึงปัจจุบัน ได้ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เร่งดำเนินการจนสามารถสืบสวน และดำเนินการจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ มีคำสั่งศาลให้ระงับการแพร่หลายข้อมูลการพนันแล้ว จำนวน 1,711 ยูอาร์แอล  ขณะที่ ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ผลการปฏิบัติการปิดกั้นเว็บการพนันออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 17 ธันวาคม 2563 ได้ดำเนินการปิดกั้นแล้ว 299 ยูอาร์แอล จับกุมผู้ต้องหาได้ 143 ราย คิดเป็นมูลค่าเงินหมุนเวียนกว่า 35,000 ล้านบาท นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ในเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2564 ที่จะมาถึงนี้ กระทรวงดีอีเอสชวนให้ 4 หน่วยงานในสังกัดได้แก่ กรมอุตุนิยมวิทยา, บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน), บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) จัดเตรียมของขวัญจำนวน 9 โครงการ เพื่อมอบให้กับประชาชน อาทิ บริการแจ้งเตือนภัยธรรมชาติผ่านเอสเอ็มเอส/ข่าวสารอุตุฯ โปรฯฟรีค่าโทรและไวไฟ ส่วนลดเติมเงินมือถือ ส่ง ส.ค.ส. ฟรีทางไปรษณีย์ และส่วนลด ร้อยละ 20 สำหรับการซื้อสินค้าผ่าน www.thailandpostmart.com ครบทุก 500 บาท พร้อมส่งฟรีทั่วไทย -สำนักข่าวไทย.

สตง.นำร่องบอกลากระดาษ

กรุงเทพฯ 21 ธ.ค. สตง. นำร่อง ปี’ 64 บอกลา “กระดาษ” นายประจักษ์  บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กล่าวว่า           สตง. มีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการตรวจสอบและในฐานะหน่วยงานตรวจสอบที่ต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปแบบเอกสาร(Paper) จึงได้จัดทำระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถดำเนินการออกเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับงานตรวจสอบผ่านระบบดิจิทัล ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการใช้กระดาษ ในกระบวนการรับ-ส่งเอกสารการตรวจสอบได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ยังช่วยให้มีระบบการจัดเก็บเอกสารหลักฐานการตรวจสอบในรูปแบบที่สามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกับหน่วยรับตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ได้เตรียมความพร้อมในการปรับระบบการทำงานเพื่อสนับสนุนการตรวจรับในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางระบบอาทิ ระบบ Opensource ERP ของ สวทช. ที่มีการอนุมัติทุกขั้นตอนแบบ paperless โดยใช้ e-certificate กำกับในการอนุมัติแต่ละขั้นตอน โดยไม่ต้องลงลายมือชื่อในเอกสารกระดาษหรือเอกสาร pdf  รวมถึงการทำ e-Tax invoice กับกรมสรรพากร  โดยในระยะต่อไปจะเตรียมการปรับเปลี่ยนกระบวนการลงนามสัญญาทั้งหมดให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป    ซึ่งทาง สวทช. คาดหวังว่าจะเป็นตัวอย่างให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ในการปรับรูปแบบการดำเนินงานให้สามารถรับการตรวจด้วยอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสมบูรณ์  การดำเนินการนี้ถือเป็นมิติใหม่ของการใช้ประโยชน์จากข้อมูลดิจิทัลข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถนำไปต่อยอดการปรับปรุงงาน สร้างระบบแนะนำให้กับหน่วยรับตรวจอื่น ๆ และลดความผิดพลาดต่าง ๆ ในการตรวจโดยใช้ เอไอในอนาคตได้ ด้านนายชัยชนะ  มิตรพันธ์  ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เอ็ตด้า กล่าวว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์           พ.ศ. 2544 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) รองรับการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือElectronic Signature :  e-Signatureให้มีผลทางกฎหมาย เช่นเดียวกับการลงลายมือชื่อบนเอกสารกระดาษ โดยสิ่งสำคัญของการลงลายมือชื่อ คือ การทำให้เกิดหลักฐานที่สามารถระบุตัวเจ้าของลายมือชื่อ และสามารถแสดงเจตนาของเจ้าของลายมือชื่อเกี่ยวกับข้อความที่ตนเอง ลงลายมือชื่อได้ ทั้งนี้ บุคคลจะมีวัตถุประสงค์หรือเหตุผลของการลงลายมือชื่อที่แตกต่างกันตามการทำธุรกรรมแต่ละประเภท เช่น การอนุมัติเห็นชอบ หรือยอมรับข้อความ เช่น การลงลายมือชื่อเพื่อยอมรับข้อกำหนดที่ปรากฏในสัญญา , การรับรองหรือยืนยันความถูกต้องของข้อความ เช่น การลงลายมือชื่อเพื่อรับรองว่าข้อความในแบบแสดง รายการภาษีเงินได้เป็นรายการที่ถูกต้องสมบูรณ์และเป็นความจริง , การตอบแจ้งการเข้าถึงหรือการรับข้อความ (acknowledgement) เช่น การลงลายมือชื่อเพื่อตอบแจ้ง การรับเอกสารและการเป็นพยานให้กับการลงลายมือชื่อหรือการทำธุรกรรมของบุคคลอื่น เช่น การลงลายมือชื่อเพื่อรับรองเอกสารหรือรับรองลายมือชื่อ (notarization) สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ ETDA จะเข้าไปศึกษารายละเอียดของกระบวนการตรวจสอบเรื่องของเอกสารทางการเงินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ให้เป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยดำเนินการร่วมกับหน่วยรับตรวจ คือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. โดยมีแนวทางการปรับปรุงกระบวนการให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์จากรูปแบบเดิม คือการออกเอกสารที่มีการจัดเตรียมผ่านโปรแกรมสำนักงาน และทำการพิมพ์เอกสารออกมาเพื่อลงนามด้วยปากกา โดยได้วางแผนไว้ 2 ช่วง ช่วงแรกที่เป็นแผนระยะสั้น หรือ Quick Win solution นั้น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะเริ่มเปลี่ยนการตรวจจากเดิม เป็นการตรวจบนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการตรวจผ่านระบบของหน่วยรับตรวจ และลงนามบนไฟล์เอกสาร PDF ผ่านโปรแกรมจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดย ETDA ให้การสนับสนุนใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Certificate) เพื่อใช้ในการลงลายมือชื่อ ซึ่งจะดำเนินการได้หลังจากเปิดปีใหม่ หรือ มกราคม 2564 “สตง. แม้ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่บริการประชาชนโดยตรง แต่เป็นกรณีตัวอย่าง ที่หนึ่งในหน่วยงานตรวจสอบหลักของภาครัฐ เต็มใจจะก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน เพื่อเป็นหน่วยงานนำร่องในการปรับเปลี่ยนกระบวนการให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์และตัวอย่างให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐหลายๆ หน่วยก็เริ่ม และพยายามลด ละ เลิกใช้กระดาษ เช่น กระทรวงมหาดไทยมีการยกเลิกใช้สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านในการไปติดต่อราชการ กรมสรรพากรมีใช้ระบบ e-Tax Invoice ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการออกใบกำกับภาษี หรือกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมก็มีการใช้ Digital Transcript เพื่ออำนวยความสะดวกให้นิสิต นักศึกษา96 ส่วนแผนระยะยาว หรือ Long term solution สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จะจัดเตรียมระบบการออกเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่สอดคล้องกับึึึกระบวนการทำงาน ทั้งการสร้างเอกสารในรูปแบบ PDF/A-3 ซึ่งเป็น PDF ที่เพิ่มการเก็บคุณลักษณะต่างๆ ของไฟล์ เช่น ฟอนท์, สี ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ในตัวเอง และสามารถคงรูปแบบหน้าตาดั้งเดิมของเอกสารไว้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเพิ่มเติม ไม่ว่าจากโปรแกรม หรือระบบปฏิบัติการในการเรียกดูเอกสาร และรองรับการแนบไฟล์เพิ่มเข้ามาใน PDF เพื่อให้สามารถนำไฟล์แนบนั้นไปประมวลผลต่อได้ และปรับรูปแบบให้เป็นอัตโนมัติ เช่น ขั้นตอนการทำงาน (Workflow) เพื่อส่งต่อเอกสารไปยังผู้ลงนามลำดับถัดไป  และออกหมายเลขเอกสารแบบอัตโนมัติ โดย ETDA ให้การสนับสนุน วิธีการจัดทำเอกสารอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการใช้งานระยะยาว (PDF/A-3) รวมไปถึงการออกแบบ XML schema สำหรับเอกสารที่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบเอกสารการเงิน และเมื่อมีระบบรองรับแล้ว สตง. และ สวทช. สามารถนำข้อมูลที่อยู่ใน XML File ซึ่งแนบอยู่ใน PDF/A-3 ไปประมวลผลต่อยอด เพื่อการทำงานที่ถูกต้อง แม่นยำ ในเวลาที่ลดลงได้-สำนักข่าวไทย.

กรมที่ดินเปิด15ฟังก์ชั่นแอปสมาร์ทแลนด์

กรุงเทพฯ 21 ธ.ค. SMARTLANDS แอปพลิเคชั่น : ครบเครื่องเรื่องที่ดิน เนื่องจากมีประชาชนเข้ามาติดต่อทำธุรกรรมกับสำนักงานที่ดินปีหนึ่งประมาณ 13 ล้านครั้ง และปรึกษาหารือเดือนละประมาณ 30,000 ครั้งต่อปี กรมที่ดินจึงมุ่งมั่นพัฒนางานบริการอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือนำพาความสะดวกสบายสู่ประชาชนในการรับทราบข้อมูลข่าวสารและการให้บริการของกรมที่ดิน  ล่าสุดนายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวว่า พัฒนา Moblile Application  ภายใต้ชื่อ “SmartLands”  ที่รวบรวมช่องทางการเข้าถึงข้อมูลและบริการของกรมที่ดินไว้ที่จุดเดียว (Department of Lands Portal : DOL Portal) โดยการรวบรวมการให้บริการด้านที่ดินต่าง ๆ ไว้ในแอปพลิเคชันเดียว เพื่ออำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ที่สำคัญสามารถตอบสนองการใช้ชีวิตวิถีใหม่ตามแนวทาง New Normal ปัจจุบัน แอปพลิเคชัน “SMARTLANDS” ให้บริการแล้ว 15 ด้าน คือ สารานุกรมที่ดิน ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจด้านที่ดินที่สำคัญและจำเป็นสำหรับประชาชน , การนัดจดทะเบียนล่วงหน้า ในการทำธุรกรรมด้านที่ดินกับสำนักงานที่ดินทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มบริการในช่วงเดือนธันวาคม2563 , LandsMaps การค้นหารูปแปลงที่ดิน ที่มีรายละเอียดโฉนดที่ดิน 33 ล้านแปลง ซึ่งมีผู้ใช้บริการในปี 2563 ถึง 17 ล้านครั้ง , การตรวจสอบราคาประเมินที่ดินประจำปีของกรมธนารักษ์ , การค้นหาที่ตั้งสำนักงานที่ดิน ทั้ง 463 แห่งทั่วประเทศ  , การคำนวณภาษีอากรและค่าธรรมเนียมที่ดินประเภทต่างๆ เพื่อเตรียมการ , ขั้นตอนการทำธุรกรรมที่ดิน , การค้นหาข้อมูลนิติบุคคลจัดสรรที่ดินอาคารชุด , การค้นหาประกาศที่ดิน (e-LandsAnnouncement) เพื่อรักษาสิทธิ์ในที่ดินของประชาชนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต , การเข้าถึงเว็บไซต์กรมที่ดิน , การร้องทุกข์-ร้องเรียน ผ่านระบบ e-Contact DC , การติดต่อกรมที่ดินผ่าน LINE : @teedin ของแต่ละสำนักงานที่ดินเพื่อปรึกษาหารือ ติดตามงานที่ยังไม่แล่วเสร็จในวันเดียว, ข่าวการจัดซื้อ-จัดจ้าง ของกรมที่ดิน, ระบบถาม-ตอบ ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับที่ดิน , การตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการรังวัดทั่วประเทศที่มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันในแต่ละจังหวัด สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “SMARTLANDS” มาใช้งานได้แล้ววันนี้ ดาวน์โหลดฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งในโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) และระบบปฏิบัติการ iOS-สำนักข่าวไทย.

ดีแทคจ่ายค่าคลื่น 700 เมกกะเฮิรตซ์งวดแรก

กรุงเทพฯ 21 ธ.ค. ดีแทค ไตรเน็ต ชำระค่าคลื่นความถี่ 700 เมกกะเฮิรตซ์ งวดแรก 17,584 ล้านบาท  นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า“เราเร่งเดินหน้าติดตั้งโครงข่ายคลื่น 700 เมกกะเฮิรตซ์ ขยายความครอบคลุมของสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ลูกค้าของเรา  คลื่น 700 เมกกะเฮิรตซ์ เป็นคลื่นความถี่ต่ำที่จะเพิ่มประสิทธิภาพครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศและพื้นที่ใช้งานหนาแน่นในเมืองโดยเฉพาะพื้นที่อาคารสูง ลูกค้าดีแทคจะได้รับประสบการณ์ในการใช้บริการที่ดีขึ้นจากในการไม่หยุดพัฒนาโครงข่าย วันนี้ ดีแทคพร้อมให้บริการในคลื่นความถี่ที่ครอบคลุมทั้งคลื่นความถี่ต่ำ-กลาง-สูง เพื่อที่จะพัฒนาคุณภาพบริการ และประสบการณ์ความเร็วสูงด้วยทั้งเทคโนโลยี 4G และ 5G ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ กสทช. ที่ดำเนินการมอบใบอนุญาตในครั้งนี้ สำหรับใบอนุญาตดังกล่าวมีอายุการใช้งาน 15 ปี จำนวน 1 ชุด รวม 2 x 10 เมกกะเฮิรตซ์ ในช่วงคลื่นความถี่ 713 – 723 เมกกะเฮิรตซ์ คู่กับ768 – 778 เมกกะเฮิรตซ์ โดยดีแทค ไตรเน็ต บริษัทย่อยของดีแทค ได้ยื่นชำระงวดแรกแก่ กสทช. เป็นจำนวนเงิน 1,881,488,000 บาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)-สำนักข่าวไทย.

อว-เอ็นไอเอตั้งรับโควิด-19ส่งหน้ากากอนามัยกันโควิด-19PM2.5ให้แพทย์ใช้

กรุงเทพฯ 21 ธ.ค. อว. – เอ็นไอเอ ตั้งเป้าลด ผลกระทบด้านสุขภาวะทางเดินหายใจในวิกฤต“ พีเอ็ม 2.5 และโควิด-19 ส่งมอบนวัตกรรมหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้“ P-Mask”  สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (เอ็นไอเอ) ร่วมกับ บริษัท พรีมาเลเซอร์เทอร์ราพี จำกัด ส่งต่อ“ P-Mask” หน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้และชุดหน้ากาก PAPR ให้กับสถานพยาบาลในย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธีซึ่งเป็นพื้นที่ให้บริการทางการแพทย์ที่มีผู้เข้ารับการรักษามากที่สุดในประเทศไทยเพื่อมอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่มาใช้บริการสถานพยาบาลในเครือมหาวิทยาลัยมหิดลกรมการแพทย์และกรมการแพทย์ทหารบกทดแทนการใช้หน้ากากอนามัยชนิดใช้ครั้งเดียวซึ่งนอกจากคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยในการกรองเชื้อไวรัสโคโรน่า 19 แล้วยังสามารถป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5  นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ NIA มีการผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอาศัยเครือข่ายย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธีซึ่งประกอบด้วยโรงพยาบาลสถาบันการศึกษาสถาบันวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชนเกือบ 20 แห่งที่มีขีดความสามารถในการให้บริการสุขภาพและการวิจัยพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ระดับสูงเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนและสังคมเสมือนของขวัญที่จะส่งมอบให้กับคนไทยในช่วงปีใหม่นี้โดยเฉพาะนวัตกรรมการแพทย์วิถีใหม่นวัตกรรมการแพทย์ทางไกลกลไกการส่งเสริมสุขภาพเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยรวมถึงนวัตกรรมเพื่อลดผลกระทบในด้านสิ่งแวดล้อมและรองรับความเป็นสังคมเมือง ในช่วงการระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ผ่านมา NIA ได้สนับสนุนเงินทุนให้กับ บริษัท พรีมาเลเซอร์เทอร์ราพี จำกัด ในวงเงิน 2.85 ล้านบาทเพื่อพัฒนานวัตกรรมหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้ สามารถนำไปต่อยอดเป็นนวัตกรรมหน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศรีษะชนิดมีพัดลมพร้อมชุดกรองอากาศหรือชุดหน้ากาก PAPR สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ได้อีกด้วยโดยปัจจุบันดำเนินโครงการเสร็จสิ้นเรียบร้อยพร้อมส่งต่อสู่การใช้จริงในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนจึงส่งมอบ หน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้จำนวน 6,000 ชิ้นและชุด PAPR จำนวน 250 ชุดให้กับสถานพยาบาลภายในย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธีซึ่งเป็นพื้นที่ให้บริการทางการแพทย์ที่มีผู้เข้ารับการรักษามากที่สุดในประเทศไทยโดยจัดสรรให้กับกรมการแพทย์กรมแพทย์ทหารบกและมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อกระจายให้กับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไปหรือผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการในสถานพยาบาล ด้านนายเจริญ ตั้งตรงเบญจศีล กรรมการ บริษัท พรีมาเลเซอร์เทอร์ราพี จำกัด กล่าวว่าจุดเริ่มต้นของการทำหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้คือต้องการลดขยะพลาสติกที่มาจากการใช้หน้ากากอนามัยเพราะที่ผ่านมามีขยะพลาสติกที่เกิดจากการใช้แล้วทิ้งเป็นจำนวนมากประกอบกับเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาโควิด -19 และการเข้าถึงหน้ากากอนามัยที่เป็นไปอย่างลำบากโดย บริษัท ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก NIA เพื่อดำเนินการผลิตหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำ 2 รูปแบบประกอบด้วย P-Mask นวัตกรรมหน้ากากอนามัยชนิดใช้ซ้ำได้ประกอบด้วยฟิลเตอร์ที่ผลิตจากเทฟลอน (PTFE) ซึ่งมีรูพรุนขนาดเล็กสามารถกรองไวรัสและฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างยาวนานสามารถทำความสะอาดได้นอกจากนี้ผ้าด้านในยังใช้เส้นใยที่เคลือบซิลเวอร์นาโนซึ่งจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังและละอองน้ำลายจึงไม่เกิดกลิ่นเหม็นจากการใช้งานสำหรับการทดลองที่ผ่านมาพบว่าหน้ากากผ้าสามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กตั้งแต่ 0.1 -0.3 ไมครอนได้มากถึงร้อยละ 95 และสามารถป้องกันฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่กว่า 0.5 ไมครอนได้ถึงร้อยละ 99 โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้นอกจากนี้เมื่อสวมใส่แล้วช่วยให้หายใจสะดวกไม่ทำให้ใบหน้าระคายเคืองสามารถถอดแยกเพื่อทำการซักล้างได้มีอายุการใช้งานที่นานกว่าหน้ากากผ้าทั่วไปนวัตกรรมหน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศรีษะชนิดมีพัดลมพร้อมชุดกรองอากาศ(Powered Air Purifying respirator: PAPR) มีลักษณะเป็นหมวกคลุมศรีษะและปั้มลมช่วยดันลมใช้ฟิลเตอร์เป็นเทฟลอนเช่นเดียวกันโดยอุปกรณ์ดังกล่าวป้องกันเฉพาะส่วนคอถึงศีรษะเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ร่วมกับชุด PPE-Personal Protective Equipment โดยปั้มลมด้านหลังนอกจากจะช่วยในเรื่องการหายใจแล้วยังสามารถกรองเชื้อไวรัสได้อีกด้วย-สำนักข่าวไทย.

ทวิตเตอร์เตรียมเปิดให้ยืนยันตัวตนใหม่ 20 ธ.ค.

กรุงเทพฯ 18 ธ.ค. ทวิตเตอร์ เตรียมเปิดใช้ระบบการยืนยันตัวตนใหม่ 20 ม.ค. ทวิตเตอร์ประกาศแผนงานนโยบายของการยืนยันตัวตนใหม่บนทวิตเตอร์สำหรับปี 2021 เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับกว่า 22,000 แบบสอบถามจากผู้คนบนทวิตเตอร์และได้เรียนรู้เพื่อกำหนดวิธีการปรับปรุงนโยบายดังกล่าว ผลตอบรังจากสาธารณชนถือเป็นส่วนสำคัญมากในขั้นตอนของการพัฒนานโยบายเพื่อสร้างความมั่นใจว่านโยบายดังกล่าวนั้นได้สะท้อนถึงการให้บริการระดับโลกและผู้คนที่ใช้งานทั่วโลก โดยจะมีส่วนช่วยในกระบวนการพัฒนานโยบายใหม่ ซึ่งจะนำเป็นพื้นฐานในการปรับปรุงว่า ระบบการยืนยันตัวตนคืออะไร ใครควรได้รับการยืนยันตัวตน และทำไมบางบัญชีทวิตเตอร์ถึงถูกลบการยืนยันตัวตน ทั้งนี้ เพื่อให้นโยบายดังกล่าวมีความเท่าเทียมกัน ความเห็นของทุกคนช่วยกำหนดนโยบายของทวิตเตอร์ โดยทวิตเตอร์ได้รับฟีดแบ็กในส่วนของเกณฑ์การพิจารณาตรงโปรไฟล์ว่าจะต้องมีข้อมูล ครบสมบูรณ์ ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นการจำกัดมากเกินไป จึงได้อัปเดตคำจำกัดความใหม่โดยไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลของโปรไฟล์หรือภาพเฮดเดอร์ โดยอัปเดตข้อมูลอ้างอิงบน Wikipedia เพื่อให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเผยแพร่บทความของสารานุกรมเพื่อให้มีคุณภาพและโดดเด่นมากขึ้น เพื่อความชัดเจนและมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่เป็นหมวดหมู่ของ “ข่าว” เราได้เพิ่มเป็นหมวดหมู่ของ “ข่าวและนักข่าว” และในส่วนของหมวดหมู่ “กีฬา” มีการเพิ่มเป็น “กีฬาและอีสปอร์ตส” นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มส่วนของดิจิทัลคอนเท้นท์ครีเอเตอร์ เข้าไปในหมวดหมู่ “ความบันเทิง” ด้วยเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทวิตเตอร์ได้นำความคิดเห็นในเรื่องของข้อกำหนดของจำนวนผู้ติดตามขั้นต่ำที่นับตามฐานของแต่ละประเทศ ซึ่งอาจจะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องในการพิจารณาเสมอไป ทั้งนี้ จึงได้อัปเดตการพิจารณาจำนวนผู้ติดตามที่อ้างอิงตามฐานของแต่ละภูมิภาค เพื่อให้ข้อกำหนดในการนับจำนวนผู้ติดตามมีความเสี่ยงต่อการถูกสแปมน้อยลงและมีความเท่าเทียมต่อประชากรในทุกพื้นที่มากขึ้น นอกจากนี้ ได้มีการแนะนำให้เพิ่มหมวดหมู่ในการยืนยันตัวตนของนักวิชาการนักวิทยาศาสตร์ และผู้นำทางศาสนาเข้าไปด้วย ซึ่งทวิตเตอร์มีแผนที่จะเพิ่มหมวดหมู่ต่างๆ เหล่านี้ในนโยบายใหม่ภายในปีหน้า โดยในระหว่างนี้บุคคลเหล่านี้อาจถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของ “นักกิจกรรม ผู้จัดงาน และอินฟลูเอ็นเซอร์”  วิธีการสมัครเพื่อขอยืนยันตัวตนในปี 2021 ผ่านการใช้ระบบใหม่ที่สามารถทำได้เองผ่านแอปพลิเคชั่น ซึ่งจะอยู่ในหน้าการตั้งค่าบัญชีทั้งบนเว็บไซต์และในแอปพลิเคชั่นทวิตเตอร์ โดยขั้นตอนจะมีการถามผู้สมัครให้เลือกหมวดหมู่ในการยืนยันสถานะและจะมีการตอบรับผ่านทางลิงก์และอาจจะต้องใช้เอกสารอื่นประกอบ ในขั้นตอนของการพิจารณาจะใช้ทั้งระบบตรวจสอบอัตโนมัติและมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าเรากำลังตรวจสอบผู้ที่ยื่นเรื่องเข้ามาได้อย่างละเอียดและดำเนินการอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ทวิตเตอร์ยังจะให้ทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะแบ่งปันข้อมูลส่วนตัวหลังจากยื่นเรื่องสมัครยืนยันตัวตนแล้วหรือไม่เพื่อที่ว่าจะได้สามารถวัดและปรับปรุงระบบการตรวจสอบให้มีความเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น โดยเราจะแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการสมัคร-สำนักข่าวไทย.

ดีอีเอสประกาศรวมCAT TOTเป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ7ม.ค.นี้

กรุงเทพฯ 18 ธ.ค. รมว.ดีอีเอส ประกาศดีเดย์ 7 ม.คจดทะเบียนควบรวม TOT-CATเป็นบมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติหรือ NT  นายพุทธิพงษ์  ปุณณกันต์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรม Employee Town Hall ที่ห้องประชุมใหญ่ (Auditorium) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่โดยมีนายมรกต เธียรมนตรี รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) นำพนักงานร่วมในการประชุมรวมกว่า1,000 คน และสหภาพแรงงานของ ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม เข้าร่วมรับฟังนโยบาย และแผนงานการ บริหารงานภายหลังการควบรวมในครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในการดำเนินการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)  หรือ TOT และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เป็น บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (National Telecom Public Company Limited :NT) โดยมีกำหนดวันจดทะเบียนในวันที่ 7 มกราคม 2564  ซึ่งภายหลังการควบรวมสำเร็จ จะส่งผลให้ NT มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากที่สุดซึ่งในวันนี้ได้มาพบกับพนักงานและสหภาพแรงงานของทั้ง กสท และ ทีโอที เพื่อที่จะสื่อสารไปยังพนักงาน ระดับต่างๆในองค์กรให้พนักงานสามารถ ร่วมขับเคลื่อนองค์กร ไปในทิศทางเดียวกัน  ตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยมและแนวนโยบายที่กำหนดเพื่อให้ องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ โดยการสื่อสารครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้พนักงานรับทราบหรือซักถามข้อสงสัย เกี่ยวกับการควบรวมกิจการ กสท และ ทีโอที เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสองบริษัทมีการดำเนินกิจการและการลงทุนที่ทับซ้อนกันการควบรวมสององค์กรเป็นหนึ่งเดียว นำไปสู่ การสร้างองค์กรใหม่ ที่ทรงพลังและแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงแบบdisruption อย่างต่อเนื่อง ที่เข้ามาสู่อุตสาหกรรมต่างๆรวมทั้งโทรคมนาคมส่งผลให้ทั้ง กสท และ ทีโอที จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่การทำธุรกิจยากต่อการต่อสู้โดยลำพังและต้องการพันธมิตรที่มีศักยภาพและไว้วางใจได้จากการควบรวมกิจการในครั้งนี้จะส่งผลทำให้ NT มีโครงข่ายครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดมีคลื่นความถี่โทรศัพท์ ครบทุกระยะ และคุณภาพการใช้งานที่ดีที่สุด ทำให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการให้บริการ ทั้งลูกค้าภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกพื้นที่สำหรับลูกค้าภาครัฐจะได้รับบริการโครงข่ายที่มีความแข็งแกร่งเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่ Thailand 4.0 และยังสามารถช่วยส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ลูกค้าเอกชนทั้งรายใหญ่และ SME ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับบริการโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศเพื่อเข้าถึงโลกดิจิทัล ซึ่งหลังการควบรวม NTจะ มีทรัพยากรโครงข่ายที่เพียบพร้อมสำหรับนำไปต่อยอดมีเสาโทรคมนาคม เคเบิลใต้น้ำ คลื่นความถี่ ท่อร้อยสายใต้ดิน, Fiber Optic, Data center และระบบโทรศัพท์ ที่มากขึ้น “NT จะกลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติที่มีศักยภาพในการให้บริการโดยเฉพาะเรื่อง 5G  และ ดาวเทียม ทั้งการนำเอาดิจิทัลมาให้บริการภาคการสาธารณสุข การเกษตร และคมนาคม โดย NT จะเป็นผู้รวบรวมบิ๊กดาต้าผ่าน5G ที่ประมูลได้ซึ่งจะเริ่มนำมาให้บริการภาคสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนกัน เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ” นายพุทธิพงษ์ กล่าว พันเอกสรรพชัย กล่าวว่า การร่วมมือกันของ 2 หน่วยงานนั้น เพื่อพัฒนาบริการที่ยึดประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการควบรวมกิจการฯ ไปสู่การเป็น NT ด้วยจุดแข็งของ CAT ในเรื่องโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำและภาคพื้นดิน จะสนับสนุนการให้บริการด้านโทรคมนาคมและดิจิทัลร่วมกันของทั้งสองหน่วยงานมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาดิจิทัลโซลูชันที่หลากหลายมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีบนโลกออนไลน์ทั้งในภาคธุรกิจและภาคประชาชน เช่นเดียวกับ นายมรกต เธียรมนตรี รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท TOT  มั่นใจว่า เมื่อควบรวมทั้ง 2 องค์กรแล้ว NT จะเป็นกลไกของรัฐที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศและประชาชนสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างเข็มแข็ง ซึ่งทีโอที พร้อมที่จะนำทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นระบบสื่อสัญญาณโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการที่มีความชำนาญในการให้บริการซึ่งมีอยู่ครอบคลุมทั่วประเทศ ตอบสนองความต้องการใช้บริการสื่อสารโทรคมนาคมในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้คนไทยได้ใช้โทรคมนาคมด้านดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ-สำนักข่าวไทย.

ทรู5Gหนุนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์

กรุงเทพฯ 17 ธ.ค. ทรู ประกาศส่ง 5G ขับเคลื่อนวงการหุ่นยนต์เพี่ออุตสาหกรรม นายธวัชชัย ฤกษ์สำราญ รองผู้อำนวยการธุรกิจโมบายล์ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ 5G บมจ.  ทรู คอร์ปอเรชั่นกล่าวในงานสัมมนาออนไลน์ “5 New S-Curve Season 2” EP.3 หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม (Robotics) เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ว่า อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เป็นหนึ่งใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการในการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในภาคอุตสาหกรรม พร้อมด้วยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายองค์กร อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ได้แก่ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและระบบนิเวศดิจิทัล อาทิCloud,AI รวมทั้งโซลูชั่นที่หุ่นยนต์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และ Smart Living  โดยกลุ่มทรูมีความพร้อมทั้งเครือข่าย 5G และ ดิจิทัลแพลตฟอร์มอีกทั้งได้พัฒนาหุ่นยนต์มานานกว่า 4 ปีแล้วพร้อมกับมีความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศในการพัฒนาโซลูชันต่างๆ ตลอดจนร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่ง นำหุ่นยนต์ไปสนับสนุนการเรียนของนักศึกษา โดยในปีหน้าจะขยายไปยังกลุ่มนักเรียนมัธยมและนักเรียนอาชีวะด้วย  สำหรับการนำหุ่นยนต์มาใช้ในภาคบริการจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหุ่นยนต์มีระบบ AI, Cloud ประกอบกับการมีโมเดลการเช่าใช้หุ่นยนต์จะช่วยลดอุปสรรคด้านการลงทุนของผู้ประกอบการได้อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ยังต้องการบุคลากรที่มีความรู้และทักษะ รวมทั้งผู้มีความเชี่ยวชาญด้าน System Integration ที่จะช่วยเติมเต็มให้อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เติบโตยิ่งขึ้น-สำนักข่าวไทย.

1 4 5 6 7 8 51
...