รมว.ดีอีเอสเข้มสั่งไอเอสพีบล็อกเว็บพนันออนไลน์

กรุงเทพฯ 9 ก.ย. รมว.ดีอีเอส เข้มสั่งไอเอสพีบล็อกเว็บพนัน ขู่ไม่ทำถือว่าผิดด้วย  นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือแก้ไขปัญหาการพนันออนไลน์ระหว่าง กสทช. กับไอเอสพี และโอเปอเรเตอร์ทุกราย หาแนวทางบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง  ว่า  ช่วงเดือนที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ประสานงานและทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนสามารถดำเนินการจับกุมพนันออนไลน์กว่า 20 รายใหญ่ทั่วประเทศ วงเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท ตามกฎหมาย พ.ร.บ.การพนันฯ กระทรวงดีอีเอสตระหนักถึงปัญหาการพนันออนไลน์มีผลกระทบมากมาย ทั้งต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสร้างความเดือดร้อนแก่คนในครอบครัว ด้วยเหตุนี้ ได้หารือกับท่าน ผบ.ตร. (พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา) และ ผอ.ศปอศ.ตร. (พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข) ในการปราบปรามและทำการสืบสวนจนนำไปสู่การจับกุม “เราพยายามบังคับใช้กฎหมายหมายฉบับเพื่อจัดการปัญหานี้ การพนันออนไลน์ ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ต้องส่งข้อมูลผ่านมาทางผู้ให้บริการวงจรสื่อสารและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต กระทรวงขอความร่วมมือหากพบเว็บการพนันจะสามารถปิดกั้นเว็บนั้นได้เลย จากนี้กระทรวงจะทำงานใกล้ชิดเพื่อส่งรายชื่อเวับที่ผิดกฎหมายให้ไอเอสพีช่วยสกัดกั้น และเมื่อดำเนินการแล้วขอให้ส่งรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการกับเว็บไซต์ผิดกฎหมายมาที่กระทรวง ขอให้เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ” รมว.ดีอีเอส กล่าวอีกว่า ขอให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตดำเนินการได้ทันทีเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าผิดกฎหมาย การพนันถ้าเขามาเล่นที่ไหนคนที่เป็นเจ้าของช่องทางก็ถือเป็นเจ้าของสถานที่ที่กระทำความผิด ถ้าท่านไม่ดำเนินการจะถือว่าท่านละเว้นไม่ทำหน้าที่มีความผิดด้วย กระทรวงได้หารือกับกสทช.หากไอเอาพีอำนวยความสะดวกและให้ความร่วมมือจะมีมาตรการช่วยเหลือจากทางกสทช.สนับสนุนไอเอสพีที่ร่วมมือในการแก้ไขปัญหา -สำนักข่าวไทย.

เผยค่าบริการอินเทอร์เน็ตบ้านของไทยต่ำสุดอันดับ3 ของโลก ขณะที่ความ เร็วครองอันดับหัวแถว

กรุงเทพฯ 9 ก.ย. กสทช.เผยผลทดสอบความเร็ว-ราคาอินเทอร์เน็ตไทยผงาดที่ 1และ2ของอาเซียน ขณะราคาเน็ตบ้านต่ำสุดราคาต่อหน่วยเป็นที่ 3 ของโลก อดีตเลขา กสทช.ชี้โอกาสไทยเร่งปรับโครงสร้างรับเศรษฐกิจดีจิทัล ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) การสำรวจของ Speedtest by Ookla เว็บไซต์ที่ทำการวัดความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2549 (2006) โดยทำการวัดความเร็วอินเทอร์เน็ตไปมากกว่า 30,000 ล้านครั้งนับแต่ก่อตั้งบริษัท โดยมีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 10 ล้านคนต่อวันนั้น  ล่าสุดเวปไซต์ดังกล่าว ได้เผยแพร่รายงาน ความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ตประจำเดือน กรกฎาคม 2563 ซึ่งพบว่าประเทศไทยมีอินเทอร์เน็ตมือถือ และอินเตอร์เน็ตบ้านที่มีความเร็วเป็นอันดับ 59 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์ (อันดับ 13 ของโลก) โดยมีความเร็วในการใช้งานเฉลี่ย 32.87 Mbps และยังพบด้วยว่า ความเร็วอินเตอร์เน็ตบ้านในไทยนั้น ยังเร็วเป็นอันดับสามของโลกอีกด้วย โดยมีความเร็วเฉลี่ย 171.45 Mbps ขณะที่ The Economist Intelligence Unit  หน่วยงานวิจัยของนิตยสารระดับโลก Economist ที่ร่วมกับ Facebook ได้จัดทำผลการศึกษาการใช้งาน และการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของประเทศต่างๆกว่า 100 ประเทศทั่วโลกในปี 2020  ภายใต้ดรรชนีชี้วัดInclusive Internet Index ที่วัดผลของอินเตอร์เน็ต ในสี่ด้านคือการเข้าถึงการใช้งานในด้านโครงสร้างพื้นฐาน(Availability) การแข่งขันและราคาการใช้งานอินเตอร์เน็ตเมื่อเทียบรายได้ประชากร (Affordability) ปริมาณและความหลากหลายของข้อมูล(Relevancy) และความสามารถและความปลอดภัยที่เอื้อในการใช้งาน Readiness  ซึ่งพบว่าดรรชนี Inclusive Internet Index ของไทยได้คะแนน 74.8 เป็นอันดับที่ 39 ของโลก และเป็นอันดับ 8 ของกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง ในส่วนของอันดับในด้านการเข้าถึงการใช้งานและราคาของการใช้งานอินเตอร์เน็ตนั้นประเทศไทยมีความโดดเป็นอันดับ 2 ของชาติอาเซียนรองจากสิงคโปร์ แต่เป็นอันดับ 1 ในด้านความถูกของราคาการใช้งานอินเทอร์เน็ตเมื่อเทียบกับรายได้ของประชากร ทั้งนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) มองว่า ความสำเร็จดังกล่าวถือเป็นความสำเร็จของบริการโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต ทั้งในส่วนของความครอบคลุม การเข้าถึงบริการโครงสร้างพื้นฐานของประชาชน และโดยเฉพาะราคาของการใช้งานอินเทอร์เน็ตเมื่อเทียบรายได้ประชากรที่ประเทศไทยต่ำเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันนั้น ถือเป็นผลงานความสำเร็จของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ที่มีการผลักดันให้ประเทศมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต ทั้งในส่วนของ Mobile Operator และ Fixed line Operator และโดยเฉพาะการที่กสทช.เดินหน้าเปิดประมูลคลื่นความถี่  5จี ไปเมื่อต้นปี 2563 ที่มีส่วนทำให้ประเทศไทยสามารถเปิดให้บริการ 5 จีในเชิงพาณิชย์ได้ก่อนประเทศอื่นในภูมิภาคนี้         “ผลสำเร็จของการประมูล 5 จีดังกล่าว ไม่เพียงจะทำให้คนไทยเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตที่เป็นบริการพื้นฐานในราคาที่ถูกแล้ว ยังทำให้รัฐบาลสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวในการเป็นเครื่องมือสกัดกั้น และควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 อย่างได้ผลอีกด้วย จนทำให้ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากนานาประเทศ ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ อดีตเลขาธิการ กสทช.กล่าวว่า ในอดีตไทยอาจล้าหลังด้านเทคโนโลยี 3 จีและ 4 จีเพราะเราพัฒนา3 จีได้ช้ากว่าประเทศอื่นนับ 10 ปี 4 จีก็ล่าช้าไปกว่า 5-6 ปีแต่ในส่วนของคลื่น 5 จีนั้นไทยเราสามารถวางโครงสร้างพื้นฐาน58 จีและเปิดให้บริการได้เร็วกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ จึงเป็นโอกาสของประเทศที่จะเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มและปรับโครงสร้างบริการ OTT 5G ของประเทศ ให้ก้าวทันโลก เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลที่กิจกรรมทุกอย่างจะขับเคลื่อนบนมือถือและสมาร์ทโฟน กิจกรรมทุกอย่างจะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี “เมื่อก่อนรัฐบาลอาจให้ความสำคัญของกระทรวงคมนาคมว่าเป็นกระทรวงเศรษฐกิจเกรดเอ แต่โลกดิจิทัลที่ทุกสิ่งทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิทัลนั้นกระทรวงดีอีเอสถือเป็นกระทรวงที่น่าจะมีบทบาทสูงสุดในการขับเคลื่อนประเทศเพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเงิน โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจทุกอย่างจะขับเคลื่อนผ่านเทคโนโลยีทั้งสิ้น”นายฐากร กล่าว-สำนักข่าวไทย.

แนะสังคายนากฎหมายพนันให้ชัดเจนช่วยแก้ปัญหาเล่นออนไลน์ได้

กรุงเทพฯ 8 ก.ย. ทนายไอที แนะจัดการพนันออนไลน์มท.ควรประสานสตช. เสนอแก้กฎหมายให้ครอบคลุม  นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายดิจิทัล กล่าวถึงกระแสความนิยมเล่นการพนันออนไลน์ที่กำลังอยู่ในความเป็นห่วงของหลายฝ่ายว่า ในมุมมองของนักกฎหมายกฎหมายเกี่ยวกับการพนันที่ใช้อยู่มีความเก่าและล้าสมัยไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย มีบังคับใช้มาตั้งแต่พ.ศ.2478 ตัวกฎหมายกำหนดสิ่งที่เป็นการพนันด้วยการเล่นพนันแบยเก่าซึ่งบางอย่างไม่นิยมเล่นแล้ว การกำหนดพื้นที่หรือท้องที่ที่เล่นกำหนดเป็นบ้านหรือโรงเล่นพนันขณะที่ปัจจุบันการพนันออนไลน์เล่นบนเซิร์ฟเวอร์ นอกจากนี้กฎหมายไทยยังไปกำหนดว่าการพนันแบบไหนอยู่ในบัญชีที่ขออนุญาต การพนันที่กำหนดไว้ยังเป็นน้ำเต้าปูปลาซึ่งแทบจะไม่มีคนเล่นแล้ว  นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า การเล่นพนันปัจจุบันเปลี่ยนไปมากนอกจากเล่นบนเซิร์ฟเวอร์ยังใช้เงินเป็นดิจิทัลคอย การจะไปเก็บพยานหลักฐานทั้งพ.ร.บ.การพนันและประมวลกฎหมายสิธีพิจารณาความอาญาไม่มีบทบัญญัติรองรับให้รวบรวมพยานหลักฐานแบบนี้ได้เลยทำให้เจ้าพนักงานหาหลักฐานลำบากต้องเอาพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์มาปรับใช้ชั่วคราว การแสวงหาพยานหลักฐานค่อนข้างลำบาก ทางออกคือควรปรับปรุงกฎหมายการพนันเสียใหม่ให้มีบทบัญญัติครอบคลุมการกระทำความผิด พ.ร.บ.การพนันเดิมให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยดูแล ดังนั้นกระทรวงมหาดไทยหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) น่าจะเข้ามาเป็นเจ้าภาพ กฎหมายการพนันเคยแก้ไขครั้งไปแล้วแต่เป็นการแก้เพียงบางส่วนเมื่อปี 2556 เมื่อถึงวันนี้ก็ไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงแล้ว  “ถ้าเราไม่ปรับการพนันออนไลน์จะเป็นช่องว่างทำให้ไม่สามารถจัดการอะไรได้ เมื่อเงินที่ใช้เล่นก็เป็นดิจิทัลการแสวงหาพยานหลักฐานก็ทำไม่ได้ ที่ทำกันอยู่ก็แค่ปิดเว็บหรือไปล่อซื้อจับคนที่ไปเล่น เราถึงเวลาที่ต้องปรับปรุง และกำหนดให้ครอบคลุมจัดการได้ถึงต้นทางถ้าเราปรับปรุงกฎหมายให้ชัดเจนนอกจากจัดการกับปัญหาการพนันออนไลน์ยังจะจัดการกับเงินที่ผ่านธุรกิจนี้ซึ่งออกไปยังธุรกิจสีเทาทั้งการค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติดและการทำผิดกฎหมายต่างๆ “ นายไพบูลย์ กล่าว -สำนักข่าวไทย.

เปลี่ยนการเรียนสู่วิถีชีวิตใหม่ เป็น Active Learning

กรุงเทพฯ 8 ก.ย. -สำนักข่าวไทยมีโอกาสชมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนได้ฝึกฝนจากประสบการณ์จริง หรือ Active Learning ที่โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือสาธิตพีไอเอ็ม ที่นี่ให้เด็กๆ ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ได้เรียนรู้และต่อยอดในสิ่งที่ชอบและสนใจเป็นพิเศษ ที่เรียกว่า โรงเรียน คือ แหล่งการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ของนักเรียน เน้นทักษะการบริหารจัดการ การสื่อสารด้านภาษา และความสามารถในการนำเทคโนโลยีไปใช้งานในด้านต่างๆ นักเรียนทุกคนจะใช้ควบคู่ไปกับการเรียน ซึ่งเป็นอุปกรณ์การเรียนที่สำคัญที่ช่วยให้เด็กสนใจและมีส่วนร่วมกับการเรียนการสอนมากขึ้น สามารถโต้ตอบและค้นคว้าข้อมูลได้ในทันที รวมไปถึงการทำการบ้านต่างๆ ที่ทางโรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนสามารถสร้างสรรค์และออกแบบชิ้นงานได้อย่างเต็มที่ ตามความถนัดของแต่ละคน อาทิ ทำวิดีโอ, ทำแอนิเมชั่น หรือ มายแมพปิ้งก็ได้เช่นกัน สาธิตพีไอเอ็มสอนเรื่อง หัวใจ ด้วยการให้เด็กๆ ทำความเข้าใจกับอวัยวะสำคัญด้วยการใช้นิ้วผ่าผ่าไอแพด ก่อนผ่าจริงๆ ผ่าแล้วต้องทำวิดีโอสรุปผลการเรียนรู้ หรือนักเรียนคนเก่งที่สรุปบทเรียนออกมาเป็นภาพ mindmap หรือการสรุปบทเรียนออกมาเป็นภาพวาดที่ลากเส้นด้วยปากการอิเล็กทรอนิกส์  การเรียนดนตรีผ่านไอแพดที่ไม่จะเป็นต้องเบ่นดนตรีเป็นทุกคน ขอแค่เข้าใจทฤษฎี และเสียงดนตรี ก็สร้างผลงานได้ เป็นการยืนยันว่าไฮเทคทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เท่าเทียมกัน  สาธิตพีไอเอ็ม เป็นโรงเรียนมัธยมที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมในด้านการศึกษา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง  สถานศึกษามีการใช้ เครื่องมือ จะจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ทำงานร่วมกัน ตลอดจนกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์ของนักเรียน อีกทั้งยังสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นและความสนใจใคร่รู้ในการเรียนอีกด้วย. -สำนักข่าวไทย

กสท ลงทุนเคเบิลใต้น้ำ 5 พันล้านบาทตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางอาเซียน

กรุงเทพฯ 8 ก.ย. กสทฯเดินหน้าโครงการเคเบิลใต้น้ำหลังครม.อนุมัติ ปรับแผนและขยายระยะเวลาทุ่มลงทุน 5 พันล้านบาท ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของอาเซียน พ.อ.สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ปรับแผนและงบประมาณในการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศกิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน ใน 2 กิจกรรมย่อย จากทั้งหมด 3 กิจกรรมย่อย งบประมาณทั้งโครงการ 5,000 ล้านบาท สำหรับ 2 กิจกรรมย่อยที่ครม.อนุมัติให้ปรับแผนและงบประมาณ ประกอบด้วย กิจกรรมย่อยที่ 1. การจัดหาอุปกรณ์เพิ่มความจุโครงข่ายเชื่อมโยงไปยังชายแดน ซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ทำให้ระบบเคเบิลใต้น้ำระบบเพชรบุรี-ศรีราชา หรือ Phetchaburi-Sriracha (PS) ไม่สามารถใช้งานได้ตามแผนที่ได้ออกแบบไว้ จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงโครงข่ายด้วยการสร้างเส้นทางใหม่รองรับบ ใช้งบประมาณเพิ่ม 126 ล้านบาท แต่ยังอยู่ในงบประมาณของโครงการเนื่องจากโครงการนี้ใช้งบประมาณไม่ถึงกรอบวงเงินที่กำหนดตั้งแต่แรก คาดว่าจะเสร็จภายใน 3 เดือน “แม้ว่าการปรับกรอบวงเงินของกิจกรรมย่อยที่ 1 ในครั้งนี้จะทำให้วงเงินเพิ่ม แต่เนื่องจากกิจกรรมย่อยที่ 2 ที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ใช้งบประมาณต่ำกว่าวงเงินที่กำหนดไว้ จึงทำให้วงเงินของโครงการในภาพรวมยังคงอยู่ภายใต้กรอบวงเงินจำนวน 5,000 ล้านบาท ที่ครม.อนุมัติไว้” พ.อ.สรรพชัย กล่าวว่า ส่วนกิจกรรมย่อยที่ 3 การร่วมก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำ ADC เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการใช้งานวงจร 200 Gbps มีการลงนามในข้อตกลง Asia Direct Cable ( ADC) ซึ่งเงื่อนไขการดำเนินงานภายหลังลงนามจะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 32 เดือน และ กสท โทรคมนาคม จำเป็นต้องมีระยะเวลาในการตรวจรับอีกประมาณ 2 เดือน ทำให้จำเป็นต้องขยายระยะเวลาโครงการถึงปีงบประมาณ 2565 พ.อ.สรรพชัย กล่าวว่า โครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน ดำเนินการตามมติครม.เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2559 งบประมาณ 5,000 ล้านบาทประกอบด้วย 3 กิจกรรมย่อย ได้แก่ งบประมาณ 2,000 ล้านบาท ในการขยายความจุโครงข่ายภายในประเทศเชื่อมโยงไปยังชายแดน เพื่อเชื่อมต่อประเทศกัมพูชา ลาว และ เมียนมา รวมความจุที่ขยายเพิ่ม 2300 Gbps งบประมาณ1,000 ล้านบาท ในการขยายความจุระบบโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศที่มีอยู่ในเส้นทางสิงคโปร์ จีน(ฮ่องกง) และสหรัฐอเมริกา จำนวน 3 ระบบ คือ AAG, APG, FLAG โดยรวมความจุที่ขยายเพิ่ม 1,770 Gbps และการลงทุนก่อสร้างเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศระบบใหม่เพื่อเชื่อมโยงประเทศในเอเซียแปซิฟิก ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกงญี่ปุ่น ไทย จีน เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ งบประมาณ 2,000 ล้านบาท-สำนักข่าวไทย.

ระดมความเห็นปรับปรุงแผนปฎิรูปปท.ด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงานและมนุษย์

สำนักข่าวไทย – ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กล่าวเปิดการประชุมและนำเสนอบริบทการพัฒนา กรอบแนวคิด และประเด็นการปฏิรูปในชุดคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และนักศึกษาเข้าร่วมประชุมรับฟังและร่วมแสดงความคิดเห็นต่อแผนการปฏิรูป จำนวน 647 ท่าน เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563 ณ ศูนย์การประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ศาสตราจารย์ นายแพทย์นิธิ กล่าวว่า “คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านวัฒนธรรม กีฬา แรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ชุดนี้เป็นชุดที่แยกออกมาจากคณะกรรมการปฏิรูปสังคมที่เกิดขึ้นใหม่และมีระยะเวลาทำงาน 2 ปี โดยสิ่งที่จะปฏิรูปกันในด้านต่างๆนี้ คือมุ่งเน้นการปรับปรุงให้ดีขึ้นเหมาะสมกับประเทศไทย ภายใต้โจทย์ที่ได้รับมาจากรัฐบาลที่อยากให้สังคมไทยต้องเตรียมพร้อมในทุกๆด้าน ทั้งในสภาวะความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ความผันผวนของเศรษฐกิจและระบบการเงินโลก ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างโลกมหาอำนาจของจีนและสหรัฐอเมริกา และสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็คือเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ AI ที่จะเข้ามาแทนมนุษย์ เรื่อง Big Data ที่จะเข้ามาช่วยเตรียมการสำหรับอนาคต และเรื่องสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของสื่อที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ที่ไปได้รวดเร็วไปได้ทุกที่ทุกเวลา คนเลือกเสพสื่อได้หลากหลายซึ่งจะเกิดการแบ่งขั้ว […]

โกเจ็กเปิดให้ดาวน์โหลดแอพหลังรวมบริการกับเก็ท

กรุงเทพฯ 3 ก.ย.โกเจ็กกลุ่มธุรกิจด้านเทคโนโลยี เปิดให้ผู้บริโภคไทยดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Gojek Thailand ได้แล้วก่อนให้บริการเต็มรูปแบบ 16ก.ย.  หลังจากเก็ท (Get) ได้ประกาศรีแบรนด์และรวมแอพพลิเคชั่นเข้าภายใต้ Gojek ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจระยะยาวของบริษัท โดยเป็นการต่อยอดความสำเร็จของแพลตฟอร์ม GET สำหรับแอพพลิเคชั่น Gojek จะให้บริการด้วยอินเทอร์เฟซฝั่งผู้ใช้ที่ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่ ๆ อีกมากมาย เพื่อรองรับบริการหลักทั้ง 4 ประเภทได้แก่ บริการส่งอาหาร (GoFood)บริการเรียกรถจักรยานยนต์ (GoRide) บริการขนส่งพัสดุ (GoSend) และ อีวอลเล็ตหรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (GoPay) ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถใช้บริการผ่านแอพ GET ได้ต่อเนื่องไปจนถึงวันเปิดตัวแอพ Gojek อย่างเป็นทางการ -สำนักข่าวไทย.

เตือนใช้เพาเวอร์แบงก์ไม่ได้มาตรฐาน มอก. หลัง 1 ธ.ค.มี ความผิด

กรุงเทพฯ 3 ก.ย.- พีเทค สวทช. ย้ำเพาเวอร์แบงก์ต้องได้มาตรฐาน ขีดเส้นตาย 1 ธ.ค. ไม่มีมาตรฐานโดนแน่ นางเกศวรงค์ หงส์ลดารมภ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยนายไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อานวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบมาตรฐานแบตเตอรี่ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยสามารถทำการทดสอบแบตเตอรี่ทั้งระดับเซลล์ ระดับโมดูลและ ระดับแพ็ค และได้รับมาตรฐาน มอก. 2217 หรือ IEC62133 และมาตรฐาน มอก. 2879 จาก สมอ.พร้อมที่จะดำเนินการให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่สนใจจะทดสอบมาตรฐานแบตเตอรี่ เพื่อให้ผู้ใช้งานมีความมั่นใจในการใช้งาน และปัจจุบัน PTEC ยังสามารถทำการทดสอบแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ที่ใช้สาหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และแหล่งเก็บกักพลังงาน (Energy Storage) ขนาดใหญ่ ทั้งในด้านประสิทธิภาพในการชาร์จ-ดิสชาร์จ และด้านความปลอดภัยการใช้งานด้วย นายไกรสร กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนใช้งานแบตเตอรี่ ทั้งในส่วนเพาเวอร์แบงก์ โทรศัพท์มือถือ โน๊ตบุ๊ก แท็บเล็ต หรือกล้องติดรถยนต์ เป็นจำนวนมากภายใต้ความเสี่ยงระเบิดและเกิดเพลิงไหม้ หลังวางไว้อยู่ในรถซึ่งตากแดดเป็นเวลานาน หรือชาร์จทิ้งไว้ในบ้านแล้วเกิดระเบิดจนไฟลุกไหม้สร้างความเสียหาย เพราะส่วนประกอบของแบตเตอรี่ เป็นแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนง่าย และอาจเกิดการติดไฟขึ้นได้ ในเวลาที่เจอกับสภาวะร้อนจัด ซึ่งหากใช้แบตเตอรี่ไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้นเพื่อดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า  สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จึงประกาศให้มาตรฐานเพาเวอร์แบงก์เป็นมาตรฐานบังคับ คือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าสำหรับการใช้งานแบบพกพา คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย มอก. 2879-2560 ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นขอ มอก.เพื่อรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ของตนเองได้ โดยจะมีผลบังคับใช้ 1 ธันวาคม 2563 โดยจะส่งผลให้เพาเวอร์แบงก์ในท้องตลาดทุกยี่ห้อ ต้องมีเครื่องหมาย มอก. รับรองตามที่มาตรฐานกำหนด หากละเมิดผู้นำเข้าจะมีความผิดทางอาญา นายไกรสร กล่าวว่า ผู้บริโภคสามารถสังเกตความผิดปกติของแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ โดยดูลักษณะทางกายภาพ หากบวมแตกหรือบิ่น แสดงว่าไม่ปลอดภัย ต้องเช็กและตรวจสอบ ก่อนนำไปใช้งานต่อ เพราะหากชำรุดจะเกิดปัญหา ขณะที่ผู้บริโภคควรเลือกใช้แบตเตอรี่ หรือตัวชาร์จ ที่ผลิตโดยผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน มีตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ เช่น มอก. และควรเลี่ยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีราคาถูกเกินจริง เพราะมีโอกาสจะเป็นสินค้าไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ นางเกศวรงค์  กล่าวว่า นักธุรกิจไทยหรือผู้ประกอบการไทยที่จะนำเข้าเพาเวอร์แบงก์เข้ามาจำหน่าย สามารถนำสินค้าเข้ามาใช้บริการศูนย์ทดสอบได้ในราคาพิเศษ โดยใช้เวลาในการทดสอบคุณภาพเพียง 3 สัปดาห์ถึง 1 เดือน เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน สำหรับผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ PTEC สวทช.หมายเลขโทรศัพท์ 0-2117-8625 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป -สำนักข่าวไทย.

กสทช.แจ้งผู้ครอบครองโดรนหลัง 23 ก.ย.รีบขึ้น ทะเบียนภายใน 30วัน

กรุงเทพฯ 3 ก.ย. กสทช. ปรับปรุงประกาศโดรนฉบับใหม่ กำหนดให้ผู้ที่ครอบครองโดรนใหม่ หลัง 23 ก.ย. 2563 จะต้องมาขึ้นทะเบียน ภายใน 30 วันหลังจากครอบครอง นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการ กสทช. สายงานกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า หลังวันที่ 23 กันยายน 2563 ประกาศกสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินสำหรับใช้งานเป็นการทั่วไป หรือที่เรียกกันว่า ประกาศโดรน จะมีผลบังคับใช้ ทำให้ผู้ที่มีโดรนไว้ในครอบครองมีหน้าที่ต้องมาขึ้นทะเบียนโดรนภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้ครอบครองเครื่อง สำหรับผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนโดรนกับสำนักงาน กสทช. ไว้แล้วก่อนหน้านี้ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องรับใบอนุญาตให้มี ใช้ และนำออกซึ่งวิทยุคมนาคม และใบอนุญาตให้ตั้งสถานีวิทยุคมนาคม ผู้ที่มีหน้าที่ต้องมาขึ้นทะเบียนโดรน ได้แก่ 1.เจ้าของโดรนและผู้ใช้งานทั่วไป 2.นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นำโดรนเข้ามาใช้ในประเทศไทย 3.ผู้ที่นำโดรนเข้ามาใช้ในภารกิจชั่วคราว เช่น นำมาใช้ถ่ายภาพยนตร์ ใช้ในงานโชว์ 4.หน่วยงานของรัฐทั้งหมด ยกเว้นหน่วยงานความมั่นคง นายสุทธิศักดิ์ กล่าวว่า ประชาชนที่มีโดรนไว้ในครอบครองสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนโดรนได้ที่สำนักงาน กสทช. ส่วนกลางพหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) กรุงเทพ หรือ สำนักงาน กสทช. ภาค หรือสำนักงาน กสทช. เขต ตามที่ท่านสะดวก โดยมีค่าธรรมเนียมคำขอ 200 บาทต่อเครื่อง ทั้งนี้ ให้ยื่นขึ้นทะเบียนภายใน 30 วันนับตั้งแต่มีโดรนไว้ในครอบครอง ฝ่าฝืนจะต้องเสียค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถโทรศัพท์สอบถามได้ที่ สำนักงานอนุญาตวิทยุคมนาคม 1 หมายเลขโทรศัพท์ 0 2670 8888 ต่อ 7850 หรือ 7852 หรือ กสทช. Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 1200-สำนักข่าวไทย.

สมาคมโฆษณาเผยการลงทุนในสื่อดิจิทัลโตแค่ร้อยละ 0.3

กรุงเทพฯ 3 ก.ย. สมาคมโฆษณาดิจิทัลชี้โควิด-19 ทำพิษ ทำเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลปี 63 โตเท่าปี 62 แค่ร้อยละ 0.3 สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ The Digital Advertising Association of Thailand (DMT) ร่วมกับคันทาร์(ประเทศไทย) จำกัด บริษัท วิจัยสำรวจมูลค่าเม็ดเงินลงทุนผ่านสื่อดิจิทัลเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง โดยมีรายงานการวิจัยล่าสุดได้เก็บข้อมูลเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลของครึ่งปีแรกของปี 2563 และการคาดการณ์เม็ดเงินในครึ่งปีหลังของปี 2563 จาก42 เอเจนซี่โดยแบ่งเป็น 57 ประเภทอุตสาหกรรมและ 14 ประเภทสื่อดิจิทัลพบว่า การระบาดของโรคโควิด -19 ส่งผลต่อการเติบโตของเม็ดเงินการลงทุนในสื่อดิจิทัลจากการเดิมมีอัตราการเติบโตเป็นเลขสองหลัก เป็นอัตราการเติบโตเพียงร้อยละ0.3 โดย 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงเงินในการโฆษณาดิจิทัลมากที่สุดในปี 2563 คือ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ มูลค่า 2,577 ล้านบาท กลุ่มเครื่องประทินผิว มีมูลค่า 1,880 ล้านบาท กลุ่มเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮส์ มีมูลค่า 1,643 ล้านบาท และกลุ่มการสื่อสาร มูลค่า 1,642 ล้านบาท ส่วนลำดับที่ 5 กลุ่มธนาคารถูกแทนที่ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ที่ 1,420 ล้านบาทเมื่อเทียบเม็ดเงินการลงทุนผ่านสื่อดิจิทัลจากปี 2562 มีการคาดการณ์ว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดถึงร้อยละ 39 ส่วนของกลุ่มเครื่องประทินผิวมีแนวโน้มจะเติบโตในอัตราที่ต่ำสุดที่ร้อยละ 5 กลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่มีการลดการลงทุนมากที่สุดหรือลดลงร้อยละ 30  แพลตฟอร์มระดับโลกอย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) และยูทูบ (YouTube) ยังคงเป็นแพลตฟอร์มหลักที่แบรนด์เลือกใช้ในการสื่อสารกับผู้บริโภคสมาคมโฆษณาดิจิทัลและคันทารคาดการณ์ว่าโซเชียล (Social) และเสริม (Search) จะมีการเย็บโดสูงถึงมากกว่าร้อยละ 32 และ มากกว่าร้อยละ 26 ตามลำดับส่วนการลงทุนในเฟซบุ๊กยูทูบและครีเอทีฟมีอัตราส่วนรวมกันถึงร้อยละ60 ของอัตราส่วนการลงทุนของทั้ง 14 ประเภทสื่อดิจิทัลคุณศิวัตรเปาวรียวงษ์นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ได้ให้ความเห็นว่า สถานการณ์โควิต -19 ส่งผลกระทบทั้งในทางบวกและทางลบต่อการใช้จ่ายเงินโฆษณาดิจิทัลในปีนี้ในขณะที่งบโฆษณาโดยรวมลดลงนักการตลาดได้ปรับสัดส่วนการใช้งบประมาณโฆษณาหันมามุ่งเน้นโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัลในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการสร้างยอดขายผ่านทางช่องทางอีคอมเมิร์ซทั้งนี้ธุรกิจในหลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มากทำให้ต้องปรับลดงบโฆษณาให้สอดคล้องกับการชะลอตัวของยอดขายและความต้องการสินค้าที่ลดต่ำลงโดยภาคธุรกิจท่องเที่ยวการบริการรถยนต์อสังหาริมทรัพย์รวมถึงผลิตภัณฑ์ปารุงผิวและเครื่องสำอางที่ต้องปรับตัวมากเป็นพิเศษและหันมาใช้สื่อโฆษณาที่สร้างความคุ้มค่าได้มากในขณะที่ภาคธุรกิจอาหารยาและเวชภัณฑ์รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบน้อยกว่าและยังคงใช้งบโฆษณาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสื่อดิจิทัล นางสาวอาภาภัทร บุญรอด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคันทาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า เม็ดเงินโฆษณาสื่อดิจิทัลยังคงมีเสถียรภาพอยู่หลังการระบาดของโรคโควิด -19 ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตจะไม่สูงเหมือนหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้ลดลงอย่างชัดเจนการที่นักการตลาดย้ายเม็ดเงินมาลงทุนในสื่อดิจิทัลมากขึ้นมีความสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้สื่อของผู้บริโภคโควิด -19 ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สื่อดิจิทัลของผู้บริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับชมเนื้อหาบนโลกออนไลน์และการซื้อของผ่านอคอมเมิร์ซผู้บริโภคใช้เวลาในโลกออนไลน์นานขึ้นและมีการใช้สื่อที่หลากหลายขึ้น แต่ยังคงมุ่งเน้นที่แพลตฟอร์มหลักอย่างเฟซบุ๊กและยูทูบส่วนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น TikTok ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นนี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่แบรนด์จะลงทุนในสื่อดิจิทัลเพราะเป็นสื่อที่ผู้บริโภคให้ความสนใจและใช้เวลากับสื่อนี้สูงจนกลายเป็นอีกสื่อหลักนอกเหนือจากทีวี นายคาร์ลอสโตมินเกส ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อคันทาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วงการสื่อและพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอทำให้ความคิดและความเชื่อที่เรามีต่อสื่อนั้นไม่สามารถประยุกต์ใช้ได้อีกต่อไปเราต้องศึกษาและค้นคว้าเพื่อเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันให้มากขึ้นการปฏิรูปสื่อสู่โลกดิจิทัลเป็นสิ่งที่ต้องทำทันทีไม่สามารถรอได้อีกต่อไป-สำนักข่าวไทย.

เอไอเอสรณรงค์ลดจยะอิเล็กทรอนิกส์

กรุงเทพฯ 2 ก.ย. เอไอเอส เปิดแคมเปญทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์แลกพอยส์  นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า จากรายงานของ The Global E-Waste Monitor 2020 มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ คาดการณ์ว่าปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกจะมีมากถึง 53.6 ล้านเมตริกตัน ในปี 2019 และจะสูงขึ้นถึง 74.7 ล้านเมตริกตันในปี 2030 โดยทวีปเอเชียเป็นทวีปที่ผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์สูงที่สุดกว่า 24.9 ล้านเมตริกตัน ในปริมาณขยะทั้งหมดมีเพียงร้อยละ 17.4 ที่ได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี ที่เหลืออีกกว่าร้อยละ 82.6 ไม่สามารถติดตามได้ ตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบัน เอไอเอส สามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดจากโครงข่ายและการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการรับจากคนไทยทั่วประเทศ ไปกำจัดอย่างถูกวิธี ผ่านกระบวนการที่ได้รับมาตรฐานระดับโลกรวมทั้งสิ้นกว่า 710 ตัน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมและขอบคุณกลุ่มลูกค้ากว่า 41 ล้านราย จึงเปิดตัวแคมเปญใหม่ “เอไอเอส E-Waste ทิ้งรับพอยท์” ที่ร่วมภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมครั้งสำคัญไปกับเอไอเอส เปลี่ยนทุกการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นคะแนน AIS Points ใน 3 ขั้นตอน ด้วยการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ 5 ประเภท ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต, แบตเตอรี่มือถือ, สายชาร์จ, หูฟัง และพาวเวอร์แบงก์ ไปยังเอไอเอสช็อปใกล้บ้าน , แจ้งกับพนักงานว่าต้องการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้ง , นำขยะหย่อนลงถัง และสแกน QR Code เพื่อรับ AIS Points จากแท็บเล็ตของพนักงาน ซึ่งจะแสดงผลจำนวน AIS Point ที่ได้รับทันทีผ่าน Notification โดยสามารถตรวจสอบยอดรวม AIS Point ได้ที่ App My AISโดยขยะอิเล็กทรอนิกส์ 1 ชิ้นมีค่า 5 คะแนน 1 หมายเลขสามารถรับ AIS Points ได้สูงสุด 10 คะแนนต่อวันระยะเวลาโครงการตั้งแต่ 1 กันยายน 2563 ถึง 31 ตุลาคม 2563 “เอไอเอสไม่ได้ตั้งเป้าจำนวนขยะที่มาทิ้งเพราะเป็นเรื่องของทัศนคติ ล่าสุดกำลังทีแนวคิดจะจัดประกวดมิสอีเวสต์ เพื่อเป็นตัวแทนรณรงค์เพื่อออกไปบอกให้คนอย่กมีส่วนร่วมกับแนวคิดนี้ ” นายสมชัยกล่าว – สำนักข่าวไทย.

1 20 21 22 23 24 2,829
...