กรุงเทพฯ 27 ก.ค.-บอร์ด กกพ. ประชุมวันนี้ ชี้ขาดค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) งวดใหม่ หลังฟังความเห็น 4 อัตรา คาดอาจเลือกอัตราต่ำสุดที่เกือบ 1 บาทต่อหน่วย ด้าน ครม.อนุมัติ กฟผ.เพิ่มวงเงินกู้ระยะสั้น Credit Line เป็น 3 หมื่นล้านบาท เสริมสภาพคล่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 ก.ค.) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะประชุมเพื่อชี้ขาดค่าไฟฟ้าผันแปรงวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค.65) หลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเสร็จสิ้นไปแล้ว มี 4 อัตรา ซึ่งคาดว่าจากภาวะเงินเฟ้อ และนโยบายรัฐบาลต้องการให้ช่วยเหลือประชาชน อาจเป็นไปได้ที่ กกพ.จะเลือกอัตราต่ำที่สุด คืออัตราเอฟทีใหม่ 93.43 สตางค์/หน่วย ขึ้นจากงวดปัจจุบัน 68.66 สตางค์ต่อหน่วย โดยอัตรางวดปัจจุบัน (พ.ค.-ส.ค.65) อยู่ที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย โดยอัตรานี้ ก็จะเป็นการสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงเท่านั้น ยังไม่มีการชำระหนี้ค่าเชื้อเพลิง กฟผ.ที่ราว 83,010 ล้านบาทแต่อย่างใด ซึ่งทาง กฟผ.คงจะต้องกู้เงินมาเสริมสภาพคล่องในช่วงนี้ไปก่อน
ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) สำหรับงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 (ระยะเวลารับฟัง 12 ก.ค.-25 ก.ค. 65) โดยมี 4 อัตรา คือ 93.43 สตางค์/หน่วย, 139.13 สตางค์/หน่วย, 116.28 สตางค์/หน่วย และ 236.97 สตางค์/หน่วย โดยทั้ง 4 อัตรานี้ เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานของประเทศที่ 3.78 บาท/หน่วยแล้ว ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของประเทศจะอยู่ที่ 4.72-6.12 บาท/หน่วย ซึ่งนับเป็นอัตราสูงสุดของประเทศ โดยทั้ง 4 อัตรานั้น หากประมาณการต้นทุนแท้จริงแล้ว อัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 พุ่งสูงถึง 236.97 สตางค์/หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 212.20 สตางค์/หน่วย โดย อัตรา 93.43 สตางค์/หน่วย เป็นการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ส่วนอีก 3 อัตรา เป็นการรวมชำระหนี้ กฟผ. ทั้งชำระทั้งหมดทันที และการชำระในช่วง 1-2 ปี
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ กฟผ. เพิ่มวงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line จากวงเงินเดิม 10,000 ล้านบาท เป็น 30,000 ล้านบาท จนถึงวันที่ 11 ก.ย. 67 ซึ่งเป็นวันที่วงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ที่ได้รับอนุมัติจาก ครม.เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 64 จะครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (R/T) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยจะพิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินที่เสนอรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุด ตามอัตราดอกเบี้ยตลาด โดยกระทรวงการคลังจะไม่ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว
ทั้งนี้ กฟผ.อยู่ระหว่างดำเนินการนำเสนอการกู้เงินเพื่อบริหารภาระค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (เอฟที) ตามนโยบายของรัฐประจำปีงบประมาณ 2566 ภายใต้กรอบวงเงินไม่เกิน 85,000 ล้านบาท ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว กฟผ.คาดว่า จะได้รับเงินกู้ดังกล่าวในช่วงปลายเดือน ต.ค. 65 ซึ่งไม่ทันต่อการรองรับการขาดสภาพคล่องในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.65
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีวงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line เพิ่มขึ้น ตามคาดการณ์ในเดือน ส.ค. 65 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง วงเงินประมาณ 30,000 ล้านบาทดังกล่าว เนื่องจาก กฟผ.ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานสูงมาก ได้แก่ ค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อกระแสไฟฟ้า งบลงทุน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
โดยรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงในส่วนของค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อกระแสไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. 65 สูงกว่าประมาณการจำนวน 23,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าประมาณการที่คาดการณ์ไว้.-สำนักข่าวไทย