กรุงเทพฯ 7 ก.ย.- ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยเผยเร่งรัฐจัดหาวัคซีนคุณภาพสูง สนับสนุนค่าใช้จ่ายคลัสเตอร์ส่งออก เดินหน้าภาคเศรษฐกิจไทย
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกรกฎาคม 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 22,650.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 20.27% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 708,651.66 ล้านบาท ขยายตัว 22.16% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนกรกฎาคมขยายตัว 25.38%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 22,467.37 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 45.94% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 712,613.16 ล้านบาท ขยายตัว 48.22% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม 2564 เกินดุลเท่ากับ 183.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขาดดุล 3,961.50 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคม – กรกฎาคมของปี 2564 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 154,985.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 16.20% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 4,726,197.35 ล้านบาท ขยายตัว 13.93% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือน ม.ค. – ก.ค. ขยายตัว 21.47%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 152,362.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 28.73% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 4,711,274.91 ล้านบาท ขยายตัว 26.34% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม – กรกฎาคมของปี 2564 เกินดุล 2,622.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 14,922.44 ล้านบาท
ทั้งนี้ สรท. ปรับคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2564 เติบโต 10-12% (ณ เดือนกันยายน 2564) โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญในปี 2564 ได้แก่
1การฟื้นตัวอย่าแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก
1.1การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น สืบเนื่องจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ตามปกติ
1.2 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก (world PMI index) ที่คงตัวเหนือระดับ 50 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิตสอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างแข็งแกร่ง
2.ราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวสูงกว่าปีที่แล้วอย่างต่อเนื่อง จากแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐฯ ที่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนตัว
ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2564 ได้แก่
1.สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงในประเทศ
1.1 มาตรการล็อกดาวน์เพื่อลดการแพร่ระบาดในประเทศ รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด – 19 ภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐจำเป็นต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะส่งผลเศรษฐกิจในภาพรวม 1.2) การติดเชื้อในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมกระทบต่อกำลังการผลิต และค่าใช้จ่ายตามมาตรการป้องกันทางสาธารณสุขภายในโรงงาน (Bubble & Seal) และเครื่องมือชุดตรวจโรค (ATK) ค่อนข้างสูงและยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากรัฐไม่สามารถดำเนินการแก้ไขหรือสนับสนุนงบประมาณเร่งด่วนได้ จะส่งผลกระทบให้ภาคการผลิตหยุดชะงักหรือไม่สามารถทำการผลิตได้อย่างเต็มที่ ส่งผลต่อการส่งมอบสินค้าและการส่งออกไม่สามารถขยายตัวได้ 10-12% ตามที่คาดการณ์ไว้
2.ปัญหาการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
2.1ค่าระวางเรือยังคงปรับตัวอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยมีการปรับขึ้นในเกือบทุกเส้นทางโดยเฉพาะเส้นทางยุโรป และสหรัฐ เนื่องด้วยปริมาณการขนส่งทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อาทิ Peak Season Surcharge (PSS) และอื่นๆ ซึ่งผู้นำเข้า/ส่งออก ต้องชำระเพิ่มเนื่องจากสถานการณ์การขาดแคลนระวางและตู้คอนเทนเนอร์
2.2 ปัญหาการบริหารจัดการตู้สินค้าภายในท่าเทียบเรือ และปัญหาการล่าช้าของเรือทำให้ตู้สินค้าตึงตัว 2.3) การปิด Meishan Island Container Terminal ของท่าเรือ Ningbo เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อโควิด – 19 ส่งผลกระทบให้สายเรือทำ Blank Sailing และการเปลี่ยนแปลงตารางเรือไปทำถ่ายลำที่ท่าเรืออื่นแทน ก่อให้เกิดความหนาแน่นที่ท่าเรือใกล้เคียงเพิ่มขึ้นตามมา
3.การยกระดับมาตรการคุมเข้มในการตรวจหาเชื้อโควิดในต่างประเทศ อาทิ ประเทศจีน ที่เพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจโควิดกับสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการหมุนเวียนตู้สินค้า และการส่งออกในบางรายสินค้า
4.การขาดแคลนแรงงาน ความต้องการแรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น แรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับประเทศและยังไม่ได้เดินทางกลับเข้ามา เนื่องจากมาตรการปิดประเทศ ประกอบกับปัจจุบันจำนวนวัคซีนโควิด – 19 ในประเทศไทย ยังไม่สามารถจัดสรรให้เพียงพอกับจำนวนแรงงานในภาคการผลิตเท่าที่ควร ยิ่งซ้ำเดิมปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นและกระทบต่อการผลิตเพื่อการส่งออก
5.ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่า จากปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของโควิดในประเทศ ส่งผลด้านลบต่อทางเศรษฐกิจไทยปี 2564 และการอ่อนค่าโดยเปรียบเทียบของดอลลาร์สหรัฐ จากการที่เฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ (QE Tapering) ภายในปีนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวขึ้นในวงกว้างตามคาดการณ์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแรงกดดันเงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณไหลเงินเข้ายังกลุ่มประเทศ Emerging market มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลการส่งออกของไทยในระยะต่อไป
6.ปริมาณปัจจัยการผลิตไม่เพียงพอและต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น อาทิ ปัญหาการขาดแคลนชิป สินค้าเหล็ก ผลผลิตทางการเกษตร และอาจมีแนวโน้มยังคงขาดแคลนต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/2564
ทั้งนี้ สรท. มีข้อเสนอแนะว่า
1.ขอให้รัฐช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 1,000 บาท/คน สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและภาคการผลิตที่เริ่มเข้ามาตรการ Factory Quarantine (FQ) หรือ Factory Accommodation Isolation (FAI) ในช่วงตั้งต้นของการดำเนินมาตรการ (One Time Cost)
2.สนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ทางสาธารณสุข อาทิ ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 หรือ Antigen Test Kit (ATK) ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีพนักงานบางส่วนติดเชื้อ และต้องมีการตรวจติดตามพนักงานอื่นที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นระยะ อย่างน้อย 7-14 วันต่อครั้ง ซึ่งเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงโดยเฉพา SME รวมถึงขอให้มีการควบคุมราคาชุดตรวจ ATK ให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม
3.เร่งฉีดวัคซีนให้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกให้ครอบคลุมโดยเร็ว เพื่อช่วยให้แรงงานลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและมีรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยรักษากำลังซื้อของครัวเรือนทั่วประเทศและพยุงเศรษฐกิจในประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไป. – สำนักข่าวไทย