กรุงเทพฯ 13 ม.ค.-GC วางเป้าหมายซื้อกิจการเป็นงานหลัก ในปีนี้ ยันไม่ถอดใจ ลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐ พร้อมประกาศตัดสินใจขั้นสุดท้ายตามกำหนดการเดิม กลางปี นี้
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้จะเกิดผลกระทบกับหลายธุรกิจ และยังส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่ง ทางGC ได้บริหารความเสี่ยงในทุกด้าน ไม่เกิดผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและช่วยเหลือสังคมไปพร้อมๆกัน ในขณะเดียวกันได้มองหาโอกาสในการซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ของบริษัทที่จะขยายการลงทุนในปีนี้ โดยเฉพาะ โครงการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ( High Performance Product) เพื่อให้สามารถขยายตลาดเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างได้รวดเร็วขึ้น เป็นการขยายเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นการ M&A ภายในปี 64
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการลงทุนในโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐอเมริกานั้นอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรรวมลงทุนรายใหม่ หลังจากพันธมิตรจากเกาหลีใต้ถอนตัวออกไป ซึ่งปัจจุบันก็มีการเจรจาอยู่ 2-3 ราย และยังคงตั้งเป้าว่าจะให้ได้ข้อสรุปการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ในกลางปี 64 สำหรับกรณีที่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเตรียมเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในสหรัฐอเมริกาของ GC และนโยบายส่งเสริมการลงทุนก็มาจากระดับพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งพร้อมจะให้เกิดการลงทุน เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงานในสหรัฐ
สำหรับผลประกอบการในปี 64 บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตในระดับ 8-10% ซึ่งเป็นการเติบโตตามปริมาณการผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 8-10% เนื่องจากในช่วงปลายปี 63 และต้นปี 64 นั้นมีการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ 3 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตผ่านการลงทุนในแนฟทา แครกเกอร์ (Naphtha Cracker) เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบของบริษัทฯ และต่อยอดธุรกิจปลายน้ำในอนาคตด้วยกำลังการผลิตเอทิลีน 500,000 ตัน และโพรพิลีน 250,000 ตัน มูลค่าโครงการประมาณ 36,000 ล้านบาท , 2โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) และ 3 โครงการโพลีออลส์ (Polyols) เพื่อผลิตโพรพิลีนออกไซด์ (PO) 200,000 ตันต่อปี และผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ (Polyols) 130,000 ตันต่อปี มีมูลค่าโครงการประมาณ 34,000 ล้านบาท
ส่วน ผลประกอบการ 64 จะดีขึ้นหรือลดลงนั้นปัจจัยสำคัญ ขึ้นกับราคาผลิตภัณฑ์ และราคานน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยกลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบของปี 64 ไว้ไม่ต่ำกว่า 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล -สำนักข่าวไทย