พิจิตร 30 ส.ค. – รัฐมนตรีพาณิชย์แจ้งเกษตรกรชาวพิจิตร ใครตกหล่นยังไม่ได้รับส่วนต่างประกันรายได้แจ้งมาจะติดตามให้ด่วน มั่นใจทุกรายได้แน่
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยคณะได้พบปะสอบถามการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรจังหวัดพิจิตร พร้อมได้ร้องทุกข์แจ้งความต้องการส่วนใหญ่เรียกร้องต้องการน้ำเพื่อการเพาะปลูก โดยชาวบ้านเดือดร้อนเรื่องน้ำมาก เรื่องภัยแล้งและอุทกภัย ที่จังหวัดสุโขทัยฝนตกน้ำท่วม และหวังว่ามวลน้ำจะลงมาถึงพิษณุโลก พิจิตร แต่น้ำก็ไม่มากพอไหลลงแม่น้ำน่านและแม่น้ำยม จึงต้องอาศัยน้ำจากทางจังหวัดกำแพงเพชรและที่สำคัญฝนยังไม่มา
ทั้งนี้ ได้สั่งการให้กรมฝนหลวงพยายามบินให้มีฝน ซึ่งการขึ้นบินของกรมฝนหลวงขึ้นอยู่กับภาวะอากาศ ถ้าความชื้นไม่ได้โปรยสารอย่างไรฝนก็ไม่ตก เป็นที่มาว่าทำไมปีนี้ฝนยังไม่มา ถ้ามีความชื้นเหมาะสมก็สามารถช่วยที่ให้มีน้ำได้จะประสานให้ชลประทานกำแพงเพชรเอาแม่น้ำปิงมาช่วยได้มากน้อยแค่ไหน โดยจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จะได้ประสานผู้ว่าราชการจังหวัดและชลประทานอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวยังได้รับเงินชดเชยภัยแล้ง 1,113 บาทต่อไร่ และผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร เพื่อรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลและการผลิตการเพาะปลูกรอบนี้จะได้รับเงิน 1,000 บาท ไม่เกิน 30 ไร่ และยังได้รับเงินส่วนต่างชดเชยจากจากโครงการประกันรายได้
อย่างไรก็ตาม นโยบายประกันรายได้เป็นนโยบายหลักที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา โดยประกันรายได้ของพืช 5 ชนิด ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมันและ ข้าวโพด และได้มีการจ่ายประกันรายได้พืชแต่ละชนิดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนจะได้รับเงินส่วนต่างประกันรายได้แน่นอน และหากเกษตรกรรายใดยังไม่ได้รับส่วนต่างประกันรายได้ให้รีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพร้อมที่จะเร่งติดตามให้อย่างเต็มที่ โดยโครงการประกันรายได้ ถ้าไม่มีโครงการนี้จะได้รับรายได้ทางเดียว แต่ถ้ามีโครงการนี้จะมีรายได้ 2 ทาง นอกจากไปขายในตลาดยังมีอีกหนึ่งก้อน คือ เงินส่วนต่าง
ทั้งนี้ กรณีชาวนาผู้เช่าที่ทำกินได้สิทธิ์ประกันรายได้เช่นกัน โดยให้นำสัญญาเช่าซึ่งมีผลกับผู้เป็นเจ้าของที่กับผู้เช่า และผู้เช่าทำนาจริงเท่านั้นที่จะได้สิทธิ์ ต้องใช้สัญญาเช่ามาเป็นตัวประกอบ โดยใช้หมายเลขสัญญาเช่า และถือเป็นครั้งแรกที่โครงการประกันรายได้ไม่ต้องใช้เอกสารสิทธิ์ใช้เพียงแค่การขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรเท่านั้นไม่ได้ดูโฉนด ดังนั้น การขึ้นทะเบียนเพาะปลูกในพื้นที่จึงสำคัญ.-สำนักข่าวไทย