ศูนย์วิจัยฯ ม.หอการค้าไทยคาดเศรษฐกิจปี 63 ติดลบ 9.4 %

กรุงเทพฯ 3 ส.ค. – ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 63 จะติดลบ 9.4% จากเดือน เม.ย.63 เคยประเมินว่า จะติดลบ 4.9 ถึงติดลบ 3.4% โควิด-19 สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วย มูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท



นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ แถลง “ประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563” ว่า เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ระลอก 2 ในต่างประเทศและยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาในไทยและการส่งออกของไทยลดลงอย่างมาก จึงปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 63 ใหม่ โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ จะติดลบลงลึกมากขึ้นในระดับลบ 9.4% จากเดือน เม.ย.63 เคยประเมินไว้ว่า จะติดลบ 4.9% ถึงติดลบ 3.4% และในกรณีแย่กว่า จะติดลบ 11.4% ส่วนกรณีดีกว่าจะติดลบ 8.4%
ด้านการส่งออกรูปเงินดอลลาร์ ปี 63 คาดว่า กรณีฐาน จะติดลบ 10.2% กรณีแย่กว่าลบ 12.5% ส่วนกรณีดีกว่าลบ 8.4% ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวกรณีฐาน ลบ 82.3% กรณีแย่กว่าลบ 83% ส่วนกรณีดีกว่าลบ 81.3% จำนวนนักท่องเที่ยวกรณีมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศภายใต้แนวทาง travel Bubble แบบจำกัดขอบเขต คาดว่า จะลดลงเหลือ 6.8 ถึง 7.5 ล้านคน ลดลงจากประมาณการเดือน เม.ย.63 ที่คาดว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 10.7 ถึง 18.2 ล้านคน การคาดการณ์นี้ อยู่บนพื้นฐานคาดการณ์เศรษฐกิจโลกโต ติดลบ 5% จากเดิมคาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะติดลบ 3%
ฉะนั้นภาครัฐจะต้องเร่งช่วยเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการทั้งในส่วนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและการขับเคลื่อนเงินตาม พรก.เงินกู้ 400,000 ล้านบาท ออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เร็วที่สุด เพราะหากช้าหรือทำได้ไม่ดีพอ จะเห็นภาพการปลดคนงานมากขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่ ต.ค.63 นี้หลังมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ สิ้นสุดลง ดังนั้นในช่วงเดือน พ.ย.63 จะเริ่มเห็นการว่างงานมากขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ สสว. ระบุว่า จะเอสเอ็มอี จะมีการทยอยเลิกจ้างงานไปจนถึงสิ้นปีนี้รวม 1.93 ล้านคน และมีโอกาสจะมีการเลิกจ้างมากถึง 2-3 ล้านคนได้ ภายใต้เงื่อนไขว่า ภาคเอกชนไม่ได้ตั้งใจที่จะปลดคนออกจากงาน อย่างไรก็ตาม คาดว่า ไตรมาส 2 ปีหน้า จะมีวัคซีนโควิด-19 ออกมาช่วยให้สถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้น ช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสกลับมาเป็นเติบโตเป็นบวกได้อีกครั้ง โดยคาดว่า ปี 64 มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเป็นบวกได้ 4-5%
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยผลกระทบจากโควิด-19 ครั้งนี้นับว่า สร้างความเสียหายมากที่สุดในเศรษฐกิจไทย มากกว่าความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เสียหาย 1.4 ล้านล้านบาท โดย ณ วันนี้ 3 ส.ค.63 โควิด-19 สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยแล้ว มูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท จากการล็อดาวครั้งแรกมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ อนุมัติให้มีการจ้างงานแบบรายชั่วโมงเป็นการชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเลิกจ้างแรงงานในภายหลัง , เพิ่มสิทธิประโยชน์ในรูปแบบต่างๆเพื่อจูงใจให้ภาคธุรกิจจ้างแรงงานที่เคยถูกเลิกจ้าง, พิจารณาขยายมาตรการพักชำระหนี้แบบอัตโนมัติออกไปอีกอย่างน้อย 6 เดือนรวมเป็น 12 เดือน ผ่อนคลายเงื่อนไขข้อจำกัดต่าง ๆเพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอี เข้าถึงวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ,กลั่นกรองโครงการที่ขอใช้เงินกู้ เงินงบประมาณปี 64 ควรให้น้ำหนักกับโครงการที่เน้นเพิ่มการจ้างงานในตำแหน่งงานที่ถาวร เพิ่มกำลังซื้อในระบบเช่น มาตรการชิมช้อปใช้ มาตรการช้อปช่วยชาติ เป็นต้น, เพิ่มกำลังซื้อในระบบจากคนที่ยังมีกำลัง ด้วยการออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคการลงทุนในสินค้าคงทน เช่น ที่อยู่อาศัยและรถยนต์ เป็นต้น
นางสาวอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลง Chamber Business Poll ธุรกิจ SME หลังวิกฤติโควิด-19 ซึ่งทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-24 ก.ค.63 จำนวน 800 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ พบว่า 61.7 ได้รับผลกระทบมากถึงมากที่สุด รองลงมา 26.9 % ได้รับผลกระทบปานกลาง และ 11.2 % ได้รับผลกระทบน้อย ส่วน 0.2% ไม่ได้รับผลกระทบ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับผลกระทบมากถึงมากที่สุด พบว่า ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 70% ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร สุขภาพ ความงาม อัญมณีและหัตกรรม ส่วนภาคบริการได้รับผลกระทบในระดับมากถึงมากที่สุด 71.1%
เมื่อถามว่า ธุรกิจเดียวกันมีการปลดคนงาน เลิกจ้างบ้างหรือไม่ พบว่า 86.5 % ระบุว่า ไม่มี แต่ 13.5% บอกว่า มีการปลดคนงาน และเลิกจ้าง และโดยเฉลี่ยระบุว่า ในช่วงต่อไปหากยังไม่มีรายได้เข้ามาหรือเข้ามาน้อยมาก จะสามารถประคองกิจการไปได้อีกเฉลี่ยประมาณ 6 เดือน สูงสุดไม่เกิน 9 เดือน ขณะที่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ระบุว่า จะประคองกิจการไปได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น
สำหรับแหล่งเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องในช่วงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระบุว่า ใช้แหล่งเงินในระบบอย่างเดียว 62.7% นอกระบบอย่างเดียว 3.4% ส่วนที่ระบุว่า ใช้ทั้งในระบบและนอกระบบ 33.9% สำหรับทัศนะกรณีได้รับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาช่วยเหลือ ระบุว่า จะสามารถประคองธุรกิจไม่ให้ปิดกิจการได้โดยเฉลี่ย 10 เดือน แต่ถ้าหากไม่มีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเข้ามาช่วยเหลือ ระยะเวลาประคองธุรกิจไม่ให้ปิดกิจการจะลดเหลือเพียง 6 เดือนเท่านั้น
ส่วนมุมมองผู้ประกอบการ SME เกี่ยวกับเงินกู้ภาครัฐ วงเงิน 400,000 ล้านบาท สำหรับช่วยเหลือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น ส่วนใหญ่ 85.4% ต้องการให้ช่วยเงินอุดหนุน แนวทางการช่วยเหลือ คือ ปลอดหลักทรัพย์ค้ำประกัน 57.7% ปลอดดอกเบี้ย 51.0% ภาครัฐจะต้องเร่งช่วยเหลือด้านการเงิน พร้อมให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)เข้ามาช่วยเหลือ. – สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

คนขับแท็กซี่ตายคารถ กว่าจะรู้ผ่านไปหลายชม.

รถแท็กซี่จอดอยู่ป้ายรถเมล์ตั้งแต่เที่ยงจนถึงเย็น มีผู้โดยสารขึ้นรถ แล้วก็ลงมา แถมถูกบีบแตรไล่ จนพ่อค้าขายข้าวโพดต้มเข้าไปเรียกพบคนขับนอนคอพับเสียชีวิต

ถอนตัวWHO

“ทรัมป์” ลงนามในคำสั่งให้สหรัฐถอนตัวจากการเป็นสมาชิกอนามัยโลก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐกล่าววานนี้ว่า สหรัฐจะออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก โดยเขาระบุว่า องค์การอนามัยโลกดำเนินการผิดพลาดในการรับมือกับโรคโควิด-19

พิตบูลขย้ำหัวพระ

“อเมริกันบูลลี่” ขย้ำหัวพระ-กัดข้อมือหาย มรณภาพคากุฏิ

สลด! หลวงพี่ เลขาเจ้าอาวาสวัด เลี้ยงอเมริกันบูลลี่ไว้ตั้งแต่เป็นลูกสุนัข ผ่านไปปีกว่า ถูกขย้ำหัวมรณภาพคากุฏิ ข้อมือขาดหายไป ยังหาไม่พบ

ข่าวแนะนำ

หนุ่มอุดรฯ ดวงเฮง ถูกลอตเตอรี่เกาหลีใต้ 45 ล้านบาท

สุดเฮง! หนุ่มอุดรฯ ถูกลอตเตอรี่เกาหลีใต้ รับเงินรางวัล 45 ล้านบาท ลูกสาวเผยพ่อเป็นคนชอบทำบุญ ก่อนหน้านี้เพิ่งโทรมาบอกให้ใส่บาตร เชื่อผลบุญหนุนโชคลาภ

สามีภรรยาจากอยุธยารับ “เจ้าจอร์จ” ไปดูแล

สามีภรรยาใจบุญจาก จ.พระนครศรีอยุธยา ขอรับ “เจ้าจอร์จ” สุนัขพันธุ์อเมริกันบูลลี่ ไปอุปการะแล้ว หลังกัดแทะร่างพระเจ้าของที่มรณภาพในกุฏิด้วยโรคประจำตัว

ดีเอสไออนุมัติสืบสวนคดีแตงโม คาดตั้งชุดเริ่มสืบได้ 27 ม.ค.นี้

อธิบดีดีเอสไอ อนุมัติให้สืบสวนคดีแตงโม ว่ามีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือไม่ และมีบุคคลหรือเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่ คาดเริ่มได้ 27 ม.ค.นี้