ตลท. 5 พ.ย. – ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ที่ 113.73 ลดลงเป็นเดือนแรกในรอบ 5 เดือน กังวลสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และเฟดขึ้นดอกเบี้ย จับตาผลเลือกตั้งสหรัฐ
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนพฤศจิกายน 2561 ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 113.73 ลดลงจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ 122.60 หรือปรับตัวลงร้อยละ 7.23 ลดลงเป็นเดือนแรกในรอบ 5 เดือน และปรับตัวลดลงมาอยู่ในภาวะทรงตัว จากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่ยังยืดเยื้อและไม่ชัดเจน รวมทั้งผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ( เฟด) ซึ่งคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ และ 3 ครั้ง ในปี 2562 ขณะที่ปัจจัยบวก คือ ความเชื่อมั่นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยหลักทรัพย์ในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค น่าลงทุนมากที่สุด ส่วนกลุ่มสื่อ สิ่งพิมพ์ เกษตร และเหล็ก ไม่น่าลงทุนมากที่สุด
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในระยะสั้นนักลงทุนกำลังติดตามผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในสภาล่าง ( ส.ส.) จะสร้างภาวะถ่วงดุลอำนาจ ทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลักดันนโยบายที่สุ่มเสี่ยงไม่ได้ เช่น นโยบายสงครามการค้า จะช่วยลดความไม่แน่นอนลงได้บ้าง โดยยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นไทยไม่แพง ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้ดี ประกอบกับจะมีการเลือกตั้งในประเทศ จะช่วยเสริมความมั่นใจของนักลงทุนให้ดีขึ้น
ด้านนายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ผู้บริหารสายงานวิจัย และหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2562 จะเติบโตร้อยละ 4.2 ลดลงจากปีนี้ที่เติบโตร้อยละ 4.7 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วเติบโตลดลง ส่งผลให้การส่งออกปีหน้าขยายตัวร้อยละ 5 ลดลงจากปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 9 โดยเชื่อว่าแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมาจากการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าขยายตัวร้อยละ 4.8 เพื่อขยายกำลังการผลิต และการเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของภาครัฐ นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมปลายปีนี้ร้อยละ 0.25 และปรับขึ้นอีกร้อยละ 0.25 ในปี 2562 ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 2 ในปีหน้า เพื่อดูแลเงินเฟ้อ.-สำนักข่าวไทย