จับตาสงคราม ลุกลามปิด “ฮอร์มุซ” กระทบเศรษฐกิจไทย

กรุงเทพฯ 23 มิ.ย. – สนค.วิเคราะห์ขัดแย้งตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น จับตาช่องแคบฮอร์มุซ จะถูกปิดหรือไม่ กระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าไทยอย่างกว้างขวาง


นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากปฏิบัติการ “Rising Lion” เมื่อ 13 มิ.ย. 68 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดทอนศักยภาพทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน อิสราเอลยังคงเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในอิหร่านอย่างต่อเนื่อง ส่วนอิหร่านก็ยังคงตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธและโดรนเข้าไปในดินแดนอิสราเอล ล่าสุดสถานการณ์ความขัดแย้งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นมาก หลังจากเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 68 สหรัฐฯ ได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานนิวเคลียร์สำคัญของอิหร่าน 3 แห่ง ในเมืองฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิสฟาฮาน ขณะที่อิหร่านประกาศพร้อมตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง และยังคงยืนกรานว่าจะไม่ยุติโครงการพัฒนานิวเคลียร์ ในขณะเดียวกันรัฐสภาอิหร่านก็ได้ลงมติสนับสนุนให้ปิด ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ แม้ว่ามติดังกล่าวยังต้องได้รับการอนุมัติจากสภาความมั่นคงสูงสุดแห่งชาติและผู้นำสูงสุดอิหร่านก่อนที่จะดำเนินการ แต่สัญญาณความตึงเครียดดังกล่าวทำให้ช่องแคบที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์นี้กลายเป็นจุดที่ทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด

ช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่า ช่องแคบฮอร์มุซตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมานและอิหร่าน ซึ่งเชื่อมต่อระหว่า อ่าวเปอร์เซียกับทะเลอาหรับ ในปี 2567 ช่องแคบนี้ถูกใช้เป็นช่องทางขนส่งน้ำมันเฉลี่ย 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 25% ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลก หรือคิดเป็น 20% ของการบริโภคปิโตรเลียมเหลวทั่วโลก


นอกจากนี้ยังเป็นช่องทางเดินเรือเพื่อส่งออกสินค้าสำคัญของประเทศที่ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลาง ทั้งซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน กาตาร์ บาห์เรน และคูเวต สะท้อนให้เห็นว่าช่องทางดังกล่าวเป็นเส้นทางน้ำที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางกับตลาดสำคัญทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่ EIA ประเมินว่า ในปี 2567 มีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ถึง 84% ที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซมุ่งหน้าสู่ตลาดเอเชีย

ดังนั้น หากอิหร่านตัดสินใจขัดขวางการขนส่งบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการขนส่งน้ำมัน เนื่องจากเรือบรรทุกน้ำมันต้องหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เช่น การอ้อมผ่านทวีปแอฟริกา ซึ่งจะผลักดันให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อโลกเพิ่มขึ้น และกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง

สถานการณ์ความไม่แน่นอนดังกล่าวได้สร้างความเสี่ยงให้กับตลาดพลังงานโลก สะท้อนจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ผันผวนและปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน หลังสหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน โดยนับตั้งแต่หลังการโจมตีของอิสราเอลในวันที่ 13 มิ.ย. จนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 13% ในขณะที่ Goldman Sachs ประเมินความเสี่ยงจากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ว่า หากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซลดลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน และยังคงลดลง 10% ต่อเนื่องไปอีก 11 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจพุ่งขึ้นในระยะสั้นแตะระดับสูงสุดที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากนั้นราคาจะปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันเบรนท์จะอยู่ที่ประมาณ 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ในอีกกรณีหนึ่ง หากอุปทานน้ำมันดิบของอิหร่านลดลง 1.75 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นเวลา 6 เดือน อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งสูงสุดที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดลงมาเหลือ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลภายในปี 2569 ทั้งนี้ Goldman Sachs มองว่าความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซในปี 2568 อยู่ที่ 52%


แนวโน้มสถานการณ์ที่รุนแรงในภูมิภาคตะวันออกกลาง ยังส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จากค่าขนส่งและค่าเบี้ยประกันภัยการขนส่งทางทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพุ่งขึ้นของอัตราค่าระวางเรือ ทั่วโลก หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นต่อเนื่องอาจนำมาสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น ข้อมูลจาก Marsh McLennan บริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระบุเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ได้ปรับราคาค่าธรรมเนียมสำหรับเรือที่ต้องการเดินทางผ่านอ่าวเปอร์เซียขึ้นจากราคาปกติ 0.125% เป็น 0.2% หลังอิสราเอลโจมตีอิหร่าน ซึ่งการปิดช่องแคบฮอร์มุซดังกล่าว ส่งผลกระทบโดยตรงอย่างมากต่อไทยที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ แม้ว่าไทยจะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก

ในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป) มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางมูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 52.6% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต และโอมาน โดยนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์เป็นหลัก หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด อุปทานน้ำมันดิบกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศจะได้รับผลกระทบ และหากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจนำมาสู่การเผชิญราคาน้ำมันและค่าพลังงานที่พุ่งสูง ซึ่งมีผลโดยตรงทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมีสัดส่วนน้ำหนักถึง 9.57% ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ การปิดกั้นช่องทางขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบแห่งนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางค่อนข้างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่สินค้าไทยจะขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซไปยังท่าเรือ Jebel Ali ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าไปยังตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในด้านการส่งออกของไทยบางสินค้าอาจได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เช่น สินค้าส่งออกที่เกี่ยวกับน้ำมัน ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซปิโตรเลียมเหลว

ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางในปัจจุบันมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงแรก โดยความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะดำเนินการขัดขวางการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซมีสูงกว่าช่วงสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์และการต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรที่เริ่มตั้งแต่ปี 2566 เนื่องจากปัจจุบันเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประกอบกับการที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการกดดัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทางอ้อมผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันหรือต้นทุนการขนส่ง เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในวิกฤตการณ์ทะเลแดงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ดังนั้น ทุกฝ่ายจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงพาณิชย์จะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเฝ้าระวังและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป. -511-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย