กรุงเทพฯ 10 ก.ค.-กยท. ขอเกษตรกรสวนยาง ร่วมมือรัฐ สร้างบรรยากาศการซื้อขายที่ดี หลังมีกระแสจะมายื่นข้อเสนอที่รัฐสภา มั่นใจอีก 2-3 สัปดาห์ ราคายางขึ้นแน่ พร้อมเชิญผู้ประกอบการน้ำยางหารือเพิ่มปริมาณการรับซื้อ หวังดันราคายางขึ้น
นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) เปิดเผยถึงกรณีที่เครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางพาราแห่งประเทศไทย จะเดินทางไปยื่นข้อเสนอแนวทางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการเกษตร ที่รัฐสภา ในวันพรุ่งนี้(11 ก.ค.) ว่า ทางรัฐและกยท.พร้อมรับฟังข้อเรียกร้องต่างๆ ของเกษตรกรอย่างเต็มที่ และที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามข้อเสนอกลุ่มเครือข่ายมาโดยตลอด ทั้งการนำสตอกของรัฐมาใช้ และการนำ พ.ร.บ.ควบคุมยางมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งถือว่าที่ผ่านมา กยท.ได้ดำเนินการมาโดยตลอด ดังนั้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันในการสร้างบรรยากาศการซื้อขายมากกว่าการสร้างความขัดแย้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าในต่างประเทศได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตามทาง กยท.จะประสานเชิญผู้ประกอบการน้ำยาง มาหารือในวันพรุ่งนี้ด้วย เพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อ ดูดซับผลผลิตให้กับเกษตรมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีส่วนเกินสูง โดยผู้ประกอบการน้ำยางสามารถใช้วงเงินเพิ่มสภาพคล่องที่รัฐบาลอนุมัติให้ได้ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าซื้อน้ำยางได้มากขึ้น ทั้งนี้ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะหารือหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มแนวการใช้ยางในประเทศ ซึ่งขณะนี้มี 9 หน่วยงานเสนอขอใช้ยางเพื่อการก่อสร้างต่าง ๆ แล้ว ขณะที่แนวโน้มราคายางพารา เชื่อว่าในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า จะมีราคาสูงขึ้น เพราะจากปัจจัยบวกด้านความต้องการยางเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรมมีมากขึ้น และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้ราคายางพาราขยับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ กยท. ยังเร่งเตรียมจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยมีผู้ประกอบกิจการส่งออกยางรายใหญ่ของประเทศ ทั้ง 5 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) บริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด บริษัท เซาท์แลนด์ รับเบอร์ จำกัด บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ กยท. ลงทุนร่วมกัน องค์กรละ 200 ล้านบาท เข้าซื้อยางในตลาด ซึ่งส่งผลดีต่อราคายาง และเป็นการปฏิบัติที่ชัดเจนภายใต้การร่วมมือกันของทุกภาคส่วน จะสามารถรักษาระดับราคา ผลักดันราคาให้อยู่ในระดับสมดุลอีกครั้ง โดยจะมีเงินทุนเริ่มต้นร่วมกัน 1,200 ล้านบาท ในการใช้ซื้อยางทั้งในตลาดซื้อขายจริงและตลาดซื้อขายล่วงหน้า ในหลักการแล้ว หากใช้ในตลาดล่วงหน้า สามารถขยายผลได้ถึง 10 เท่า จากเงิน 1,200 ล้านบาท จะขยายผลได้ถึง 12,000 ล้านบาท และซื้อยางได้ประมาณ 200,000 ตัน โดยหลังจากดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว จะส่งผลให้ราคายางพาราในปีนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 60-70 บาทต่อกิโลกรัม จากปีก่อนที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 40-50 บาทต่อกิโลกรัม
ขณะเดียวกัน ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 3 ประเทศผู้ผลิตยางของโลก ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ประชุมหารือร่วมกันในเวทีสภาไตรภาคียางพารา (International Tripartite Rubber Council – ITRC) ครั้งที่ 28 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบตามที่ประเทศไทยเสนอในการนำมาตรการจำกัดการส่งออกมาใช้อีกครั้ง เพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาราคายางผันผวนในระยะสั้น พร้อมทั้งจะเร่งดำเนินการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีของ 3 ประเทศ ให้เร็วขึ้น จากเดิมกำหนดในช่วงเดือนธันวาคมเป็นเดือนกันยายนนี้เพื่อประชุมหารือแนวทางและมาตรการแก้ปัญหายางพารา โดยในวันที่ 3 สิงหาคมนี้ คณะทำงานด้านยางพาราจะหารือร่วมกับประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อหาข้อสรุปความร่วมมือการกำหนดสัดส่วนการส่งออก ระยะเวลาในการส่งออก และผลกระทบของแต่ละประเทศ ก่อนเสนอในระดับรัฐมนนตรีของทั้งประเทศในกลางเดือนกันยายนต่อไป-สำนักข่าวไทย
