กรุงเทพฯ 31 ต.ค. – ผู้ว่ากยท. เผยตั้ง “ทีมสายลับยาง” ในจังหวัดชายแดน เฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการลักลอบนำเข้ายางพารา พร้อมสั่งกยท. จังหวัด และ กยท.สาขาในพื้นที่เขตพรมแดนสำรวจการผลิตยางธรรมชาติของเกษตรกรรวมถึงจำแนกตามรูปแบบของผลผลิตยางที่ขายเพื่อเก็บข้อมูลสตอกยาง ป้องกันยางเถื่อนปะปน ตั้งเป้าขยายผลสำรวจทั่วประเทศ
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ได้สั่งให้ตั้ง “ทีมสายลับยาง” ขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนเพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้ายางพาราเถื่อนตามนโยบายร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำหรับ “ทีมสายลับยาง” ที่จัดตั้งขึ้นเป็นการทำงานร่วมกันของกยท. และเครือข่ายในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวังและสอดส่องการกระทำผิดกฎหมาย หากพบเบาะแสจะแจ้งแก่หน่วยงานผู้มีอำนาจดำเนินการจับกุมต่อไป โดยจะขยายผลให้ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดชายแดนได้แก่ กาญจนบุรี ระนอง ตาก เชียงราย เป็นต้น
พร้อมกันนี้มอบหมายให้กยท. จังหวัด และ กยท. สาขาที่อยู่ในพื้นที่เขตพรมแดนวางแผนสำรวจการผลิตยางธรรมชาติของเกษตรกรทั้งรูปแบบของผลผลิตยางที่ขาย จำแนกเป็นน้ำยางสด ยางก้อนถ้วย ยางแผ่นดิบ ซึ่งจะทำให้ทราบได้ว่า ปริมาณยางที่ขายในพื้นที่นั้นๆ มียางเถื่อนปนอยู่ด้วยหรือไม่ โดยกำหนดเป้าหมายสำรวจข้อมูลดังกล่าวให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ตลอดจนตรวจสอบสินค้ายางนำเข้าเพื่อควบคุมการนำเข้าให้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมอบหมายให้กยท. จังหวัด และ กยท. สาขาชี้แจงให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางทราบถึงโทษการรับซื้อสินค้าเกษตรที่ผิดกฎหมายหรือหลีกเลี่ยงภาษี และกำกับควบคุมสถาบันเกษตรกรฯ ไม่ให้รับซื้อยางที่ผิดกฎหมายด้วย
ก่อนหน้านี้ผู้ว่ากยท. ได้หารือร่วมกับผู้แทนจากองค์การส่งเสริมการค้า กระทรวงพาณิชย์เมียนมานำโดย Dr. Htein Lynn, Deputy Director General เกี่ยวกับกระบวนการลักลอบขนยางพาราผิดกฎหมายเข้ามาฝั่งไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ กำลังเร่งจัดการปราบปรามและป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดขึ้น โดยประเทศเมียนมามีกฎหมายและระเบียบในการส่งออกยางพารา แต่พบว่า ยังมีการลักลอบขนยางไปจำหน่ายในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยเนื่องจากราคายางในไทยสูงกว่าราคารับซื้อยางในประเทศเมียนมา
ตลอดจนเตรียมขับเคลื่อนไปสู่การหารือร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศ โดยจะประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยและกระทรวงการต่างประเทศของเมียนเพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างจริงจังต่อไป โดยเบื้องต้นทั้ง 2 ประเทศมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ ต้องการควบคุมและป้องกันการกระทำผิดดังกล่าวให้สำเร็จโดยเร็ว.-สำนักข่าวไทย