ชัวร์ก่อนแชร์: ไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน จริงหรือ?

25 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : หนึ่งในความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกจากไวรัสเดงกี่ คือความเชื่อว่าการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อ และเป็นอันตรายต่อคนที่อยู่ใกล้ บทสรุป : 1.ไข้เลือดออกไม่ใช่โรคติดต่อจากคนสู่คน2.ยุงที่กัดผู้ป่วยไข้เลือดออก จะกลายเป็นพาหะไข้เลือดออก3.สตรีมีครรภ์สามารถส่งต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ไปยังทารกในครรภ์ได้ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกี่ ผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกี่ส่วนใหญ่ประมาณ 80% ไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น เป็นไข้ พบอาการรุนแรงประมาณ 5% และเพียงส่วนน้อยที่อาการรุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิต อาการเฉพาะของไข้เลือดออกคืออาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และมีผื่น ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง จนกลายเป็นไข้เลือดออกเดงกี่ (Dengue Hemorrhagic Fever) จะทำให้มีเลือดออกง่าย เกล็ดเลือดต่ำ มีการรั่วของพลาสมา หากรุนแรงมากขึ้นเป็นกลุ่มอาการไข้เลือดออกช็อก (Dengue Shock Syndrome) ทำให้ความดันโลหิตต่ำจนเป็นอันตรายและเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ไข้เลือดออกไม่ติดต่อสู่คนได้โดยตรง แม้ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจากไวรัสเดงกี่ จะมีอาการหลายอย่างคล้ายโรคติดต่อ แต่ไวรัสเดงกี่จะไม่ติดต่อจากคนสู่คนโดยตรง […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ไข้เลือดออก ป่วยแล้วไม่เป็นซ้ำ จริงหรือ?

24 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : หนึ่งในความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกจากไวรัสเดงกี่ คือความเชื่อว่าการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกจะทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกี่ไปตลอดชีวิต บทสรุป : 1.ไข้เลือดออกจากเชื้อไวรัสเดงกี่สามารถเป็นซ้ำได้ เนื่องจากมี 4 สายพันธุ์2.การป่วยเป็นไข้เลือดออกครั้งที่ 2 จะรุนแรงมากกว่าครั้งแรก จากปรากฏการณ์ ADE3.ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก 2 ชนิด4.Qdenga ที่พัฒนาโดยคนไทย สามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยติดหรือไม่เคยติดไวรัสเดงกี่ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ไวรัสเด็งกี่มี 4 สายพันธุ์ ไข้เด็งกี่ หรือ ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อซึ่งระบาดในเขตร้อน เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ แบ่งได้ 4 สายพันธุ์หรือ 4 ซีโรไทป์ได้แก่ 1.DENV-12.DENV-23.DENV-34.DENV-4 การติดเชื้อไวรัสเด็งกี่สายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง จะทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่สายพันธุ์นั้น ๆ ไปตลอดชีวิต แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเด็งกี่อีก 3 สายพันธุ์เพียงชั่วคราว ดังนั้น การติดเชื้อไวรัสเดงกี่และการป่วยเป็นไข้เลือดออก […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ชายแปลงเพศเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก จริงหรือ?

20 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ เมื่อมีการแชร์ข้อมูลล้อเลียนสมาคมโรคมะเร็งของประเทศแคนาดา ที่แนะนำให้สตรีข้ามเพศตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านั้นไม่มีมดลูก บทสรุป : 1.คำแนะนำไม่ได้ระบุถึงสตรีข้ามเพศที่ยังไม่ผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเพศ2.สตรีข้ามเพศที่ผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเพศ (Bottom Surgery) มีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อมะเร็งปากมดลูก FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ในความเป็นจริง คำแนะนำของสมาคมโรคมะเร็งของประเทศแคนาดา (Canadian Cancer Society) เน้นไปที่สตรีข้ามเพศที่ผ่านการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเพศ (Bottom Surgery) แล้วเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับสตรีข้ามเพศที่ยังไม่เข้ารับการผ่าตัดแต่อย่างใด การผ่าตัดแปลงเพศ จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ การผ่าตัดเต้านมหรือการผ่าตัดเสริมเต้านม (Top Surgery) และการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเพศ (Bottom Surgery) การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะเพศ (Bottom Surgery) ซึ่งรวมถึงการผ่าตัดอัณฑะ มดลูก และรังไข่ จะเริ่มหลังจากผู้เข้ารับการผ่าตัดมีอายุ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: วัคซีนโควิด-19 ทำให้เด็กข้ามเพศ จริงหรือ?

18 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ เมื่อมีการเผยแพร่ความเชื่อว่า สาเหตุที่ประชากรหลากหลายทางเพศและคนข้ามเพศเพิ่มขึ้นในสังคม เป็นผลจากการรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA พัฒนาจากเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วดีเอ็นเอของตัวอ่อนมนุษย์ซึ่งมีเพศที่แตกต่างจากเพศของผู้รับวัคซีน จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของผู้รับวัคซีน ทำให้ผู้รับวัคซีนมีพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบนในที่สุด รวมถึงข้ออ้างที่ว่าวัคซีนจะเข้าไปกระตุ้นยีนเกย์ที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้รับวัคซีนซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากพ่อแม่ ทำให้ผู้รับวัคซีนมีพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบนเช่นกัน ซึ่งการกล่าวอ้างทั้งหมด ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญว่าไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย บทสรุป : 1.มนุษย์ไม่มียีนเกย์2.ความเบี่ยงเบนทางเพศเริ่มตั้งแต่เป็นตัวอ่อน3.วัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมไม่ได้ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : วัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมไม่ได้ ดร.พอล ออฟฟิต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนและกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาล Children’s Hospital of Philadelphia อธิบายว่า เซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ถูกนำมาใช้เพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสเพื่อการพัฒนาวัคซีนหลายชนิด ทั้งวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ วัคซีนอีสุกอีใส หรือหัดเยอรมัน โอกาสที่ดีเอ็นเอตกค้างจากวัคซีนจะส่งผลต่อพันธุกรรมของผู้รับวัคซีนแทบเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากก่อนจะนำมาฉีดให้กับประชาชน จะต้องผ่านกระบวนการทำให้วัคซีนมีความบริสุทธิ์ ซึ่งปริมาณดีเอ็นเอตกค้างจากเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ในวัคซีนมีขนาดเล็กมาก หรือประมาณพิโกกรัมหรือ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ยาฆ่าหญ้าปนเปื้อนน้ำดื่มทำให้เด็กข้ามเพศ จริงหรือ?

17 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศเผยแพร่ในต่างประเทศ เมื่อ โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐ พรรครีพับลิกัน เคยให้สัมภาษณ์ระหว่างหาเสียงเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า Atrazine สารกำจัดวัชพืชที่ใช้อย่างแพร่หลายในสหรัฐฯ คือสาเหตุทำให้เยาวชนอเมริกัน โดยเฉพาะเพศชายมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศมากขึ้น เนื่องจากมีการทดลองกับกบพบว่า กบเพศผู้ที่สัมผัสสาร Atrazine กลายเป็นหมันและพัฒนาอวัยวะเพศของตัวเมีย ดังนั้น สาร Atrazine ที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ เมื่อดื่มเข้าสู่ร่างกายจะส่งผลกระทบต่อความสมดุลของฮอร์โมน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศในที่สุด บทสรุป : 1.การสัมผัสสาร Atrazine อย่างต่อเนื่องทำให้กบตัวผู้กลายเป็นตัวเมีย2.มนุษย์สามารถขับสาร Atrazine ทางปัสสาวะ และจะไม่ก่อให้เกิดการข้ามเพศ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : งานวิจัย Atrazine กับการเปลี่ยนเพศในกบ โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: การข้ามเพศคือการป่วยทางจิต จริงหรือ?

16 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศเผยแพร่ในต่างประเทศ เมื่อ วิเวก รามาสวามี นักธุรกิจและผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐโอไฮโอจากพรรครีพับลิกัน กล่าวระหว่างการหาเสียงว่า การข้ามเพศ โดยเฉพาะในเด็ก คือความผิดปกติทางจิต บทสรุป : 1.WHO ยกเลิกการข้ามเพศจากบัญชีความผิดปกติทางจิตตั้งแต่ปี 20192.การข้ามเพศถูกย้ายมายังหมวดภาวะที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทางเพศ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : อย่างไรก็ดี แม้ Transsexualism หรือการข้ามเพศ จะเคยจัดเป็นหนึ่งในความผิดปกติทางจิตโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แต่ปัจจุบันการข้ามเพศไม่ถือเป็นความผิดปกติทางจิตอีกต่อไป WHO ยกเลิกการข้ามเพศจากบัญชีความผิดปกติทางจิตตั้งแต่ปี 2019 บัญชีจำแนกทางสถิติสากลเกี่ยวกับโรคและปัญหาสุขภาพ (International Statistical Classification of Diseases and Related Health Problems : ICD) ฉบับล่าสุดในปี 2019 หรือ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: บุหรี่ไฟฟ้าไม่ทำให้เกิด “โรคปอดป๊อปคอร์น” จริงหรือ?

15 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อมีข้อมูลที่สรุปว่า โรคปอดป๊อปคอร์นหรือหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า บทสรุป : 1.โรคปอดป๊อปคอร์น เป็นชื่อเรียกของโรคหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น2.สาเหตุมาจากสารไดอะเซทิล ที่ช่วยให้ข้าวโพดคั่วมีกลิ่นหอมเนย3.ปัจจุบันมีการยกเลิกใช้สารไดอะเซทิลในข้าวโพดคั่วแล้ว แต่กลับพบการใช้ในบุหรี่ไฟฟ้า FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : โรคปอดป๊อปคอร์นจากสาร Diacetyl โรคหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น เป็นที่รู้จักทั่วไปในชื่อ โรคปอดป๊อปคอร์น เนื่องจากพบการระบาดอย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้ป่วยที่ทำงานในโรงงานอบข้าวโพดคั่วในช่วงต้นยุค 2000s สาเหตุเนื่องจากการอบข้าวโพดคั่วในสมัยก่อน ยังมีการเติมสารไดอะเซทิล (Diacetyl) เพื่อทำให้ข้าวโพดคั่วมีกลิ่นหอมเนย แม้สารไดอะเซทิลจะไม่เป็นอันตรายสำหรับการบริโภค แต่ส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจหากสูดดมเป็นเวลานาน เพราะการสะสมสารไดอะเซทิลทำให้เกิดการอักเสบที่ผนังหลอดเลือดในปอด เกิดเนื้อเยื่อแผลเป็นที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแคบลง นำไปสู่โรคหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น แม้ภายหลังจะมีการห้ามใช้สารไดอะเซทิลผลิตข้าวโพดคั่วหรืออาหารอื่น ๆ แต่กลับพบการใช้สารไดอะเซทิลเป็นส่วนประกอบในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย บุหรี่ไฟฟ้าในอังกฤษไม่มีสารไดอะเซทิล หน่วยงานสาธารณสุขของอังกฤษ ปฏิเสธการเชื่อมโยงโรคปอดป๊อปคอร์นกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากสหราชอาณาจักรมีกฎหมายห้ามเติมสารไดอะเซทิลในบุหรี่ไฟฟ้า จึงเป็นสาเหตุให้การสูบบุหรี่ไฟฟ้าในสหราชอาณาจักร ไม่เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดลมฝอยอักเสบอุดกั้น แต่กระนั้น สารไดอะเซทิลกลับพบอย่างแพร่หลายในบุหรี่ไฟฟ้าที่จำหน่ายนอกสหราชอาณาจักร บุหรี่ไฟฟ้าทั่วไปมีสารไดอะเซทิล […]

ชัวร์ก่อนแชร์: นิโคตินจากบุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัว เท่ากับ บุหรี่ 20 มวน จริงหรือ?

14 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อมีการเปรียบเทียบว่า ระดับนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัว เท่ากับปริมาณนิโคตินที่ได้รับจากการสูบบุหรี่มวน 20-40 ตัว บทสรุป : 1.ในอังกฤษมีมาตรการควบคุมนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าให้เทียบเท่าบุหรี่ 20 มวน2.แต่ในประเทศที่ไม่มีการควบคุม อาจพบนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าเท่ากับบุหรี่ 600 มวน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัว ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติสหราชอาณาจักร (NHS) ระบุว่า ปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัวที่อนุญาตให้จำหน่ายในสหราชสหราชอาณาจักร ต้องมีปริมาณน้ำยาไม่เกิน 2 มิลลิลิตร และมีความเข้มข้นของนิโคตินที่ 20 มิลลิกรัมต่อน้ำยา 1 มิลลิลิตร เท่ากับว่า บุหรี่ไฟฟ้า 1 ตัวในสหราชสหราชอาณาจักร จะมีปริมาณน้ำยาไม่เกิน 2 […]

ชัวร์ก่อนแชร์: บุหรี่ไฟฟ้าติดยากกว่าบุหรี่มวน จริงหรือ?

13 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อมีความเชื่อกันว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้านำไปสู่การเสพติดได้ยากกว่าการสูบบุหรี่มวน บทสรุป : 1.บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินเหมือนกับบุหรี่มวน2.งานวิจัยพบว่าผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีพฤติกรรมเสพติดมากกว่าบุหรี่มวน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ความเชื่อดังกล่าวมาจากคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร ที่มองว่าบุหรี่ไฟฟ้านำไปสู่การเสพติดได้ยากกว่าการสูบบุหรี่มวน เนื่องจากการสูบแต่ละครั้งทำให้ร่างกายได้รับปริมาณสารนิโคตินน้อยกว่าการสูบบุหรี่มวน อย่างไรก็ตาม คำแนะนำดังกล่าว มาจากประเทศที่มีการควบคุมปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า สำหรับประเทศที่ไม่มีการควบคุมปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า คำแนะนำดังกล่าวอาจไม่สะท้อนทิศทางการผลิตบุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มปริมาณนิโคตินต่อการสูบหนึ่งครั้งอย่างมาก นิโคตินยังมีระดับการเสพติดที่สูงมาก เทียบเท่าการเสพติดอย่างโคเคนและเฮโรอีน ทำให้การหยุดรับสารนิโคตินอย่างกะทันหัน นำไปสู่อาการขาดยา ซึ่งพบได้ไม่แตกต่างกันทั้งในกลุ่มผู้สูบบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า งานวิจัยพบ บุหรี่ไฟฟ้าติดง่ายกว่าบุหรี่มวน งานวิจัยหัวข้อ E-Cigarettes are More Addictive than Traditional Cigarettes—A Study in Highly Educated Young People โดยทีมวิจัยในประเทศโปแลนด์ ตีพิมพ์ทางวารสาร International Journal […]

ชัวร์ก่อนแชร์: บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายต่อเด็กน้อยกว่าบุหรี่มวน จริงหรือ?

12 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : แม้จุดประสงค์แต่เดิมของบุหรี่ไฟฟ้าคือทางเลือกสำหรับผู้ต้องการเลิกสูบบุหรี่ แต่ปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาดบุหรี่ไฟฟ้าคือนักสูบหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชน นำไปสู่การตั้งคำถามถึงประโยชน์และอันตรายเรื่องการมีอยู่ของบุหรี่ไฟฟ้าที่ยังคงแพร่หลายในสังคม แม้จะเป็นสิ่งผิดกฎหมายในบางประเทศก็ตาม บทสรุป : 1.ความเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนมาจากงานวิจัยที่มีปัญหาและทำให้เกิดความเข้าใจผิด2.ในบุหรี่ไฟฟ้ามีสารที่เหมือนและต่างจากบุหรี่มวน แต่เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งได้เช่นกัน3.ตรวจพบยาดองศพและยาฆ่าหญ้าในบุหรี่ไฟฟ้า4.บุหรี่ไฟฟ้าพุ่งเป้ามาที่เยาวชน ทำให้เกิดนักสูบหน้าใหม่ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การทำงานของบุหรี่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้าที่การทำงานที่คล้ายคลึงกับเครื่องพ่นละอองสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือผู้ป่วยโรคปอด เครื่องพ่นละอองจะเปลี่ยนตัวยาที่เป็นของเหลวให้กลายเป็นไอให้ผู้ป่วยสูดดม ถือเป็นวิธีลำเลียงตัวยาเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจที่มีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าทำงานด้วยการใช้ความร้อนทำให้สารเคมีในน้ำยากลายเป็นไอ แต่สิ่งที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจกลับเต็มไปด้วยสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเวลานานจึงเปรียบเสมือนการปล่อยให้ปอดแช่อยู่ในสารพิษอย่างต่อเนื่อง การที่บุหรี่มวนมีสารก่อมะเร็งนับ 100 ชนิด และสารเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งกว่า 900 ชนิด อาจทำให้บุหรี่ไฟฟ้าดูมีความอันตรายน้อยกว่า แต่กระนั้น บุหรี่ไฟฟ้าก็มีสารบางอย่างที่คล้ายกับบุหรี่มวน รวมถึงสารอันตรายอื่น ๆ อีกมากมายที่พบในบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะ Nicotine สารที่พบทั้งในบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าคือนิโคติน สารเสพติดที่ทำให้ความดันโลหิตสูงและเร่งการหลั่งอะดรีนาลีน ทำให้หัวใจทำงานหนักเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ บุหรี่ไฟฟ้าบางชนิดยังพบปริมาณนิโคตินที่สูงกว่าในบุหรี่มวนอีกด้วย Formaldehyde ฟอร์มาลดีไฮด์ สารประกอบอินทรีย์ ใช้เป็นสารตั้งต้นสำคัญในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้เป็นสารฆ่าเชื้อและยาดองศพ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ชานมไข่มุกทำให้เสี่ยงมะเร็ง จริงหรือ?

11 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างงานวิจัยที่พบสารก่อมะเร็งในชานมไข่มุก นำไปสู่การอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกอาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง บทสรุป : 1.ข่าวพบสารก่อมะเร็งในชานมไข่มุก มาจากงานวิจัยที่มีปัญหาเมื่อปี 20122.ดื่มชานมไข่มุกมากเกินไป เพิ่มความเสี่ยงสารพัดโรค FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ข้ออ้างดังกล่าวมาจากงานวิจัยจากประเทศเยอรมนีเมื่อปี 2012 ที่ตรวจพบสารก่อมะเร็งในไข่มุกที่ใช้ในชานม จนกลายเป็นข่าวที่ถูกรายงานโดยสื่อหลายสำนักในเวลานั้น อย่างไรก็ดี มีการตรวจพบข้อผิดพลาดจากรายงานดังกล่าว เพราะสารก่อมะเร็งที่พบในไข่มุกไม่ใช่สาร Polychlorinated Biphenyls (PCBs) แต่เป็นสาร Styrene ที่พบได้ปริมาณน้อยในอาหารทั่วไป และAcetophenone สารปรุงแต่งกลิ่นรสอาหารสังเคราะห์ที่ผ่านการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) แม้โครงการพิษวิทยาแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Toxicology Program) จะพบว่าสาร Styrene เป็นสารก่อมะเร็งจากการวิจัยในสัตว์ทดลอง แต่ทีมวิจัยจากประเทศเยอรมนียังขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของชานมไข่มุกที่พบสาร Styrene และไม่ระบุว่าปริมาณสาร Styrene ที่พบมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังอยู่ในสถานะ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ชานมไข่มุกดื่มมากเสี่ยงนิ่วในไต จริงหรือ?

10 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกดื่มมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงนิ่วในไต บทสรุป : 1.มีเคสดื่มชานมไข่มุกแทนน้ำในไต้หวันจนป่วยเป็นนิ่วในไต2.ต่างจากข่าวลือนิ่วในถุงน้ำดีเพราะชานมไข่มุกที่ไม่เป็นความจริง3.ปัจจัยเสี่ยงของชานมไข่มุกต่อสุขภาพไตคือปริมาณน้ำตาล4.ชานมไข่มุก 1 แก้วมีน้ำตาลถึง 11 ช้อนชา เท่ากับปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วัน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ข้อมูลดังกล่าว มาจากรายงานข่าวจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ Independent ของประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ที่รายงานเคสผู้ป่วยหญิงชาวไต้หวันวัย 20 ปี ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลจากการเป็นไข้และอาการปวดอย่างรุนแรงบริเวณแผ่นหลังด้านล่าง การตรวจอัลตราซาวนด์พบว่าไตของเธอมีอาการบวมน้ำและพบนิ่วในไตจำนวนมาก ผลตรวจเลือดพบปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวจำนวนมาก ทีมแพทย์ทำการรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ ดูดของเหลวออกจากไต และทำการผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อนำนิ่วมากกว่า 300 ชิ้นออกมาจากไตของเธอ ซึ่งแต่ละชิ้นมีขนาดประมาณ 5 มิลลิเมตรถึง 2 เซนติเมตร ดร.ลิมชียัง แพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ […]

1 2 3 4 5 6 45