18 มิถุนายน 2568
แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ข้อมูลน่าสงสัย :
มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ เมื่อมีการเผยแพร่ความเชื่อว่า สาเหตุที่ประชากรหลากหลายทางเพศและคนข้ามเพศเพิ่มขึ้นในสังคม เป็นผลจากการรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA พัฒนาจากเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ เมื่อฉีดเข้าไปแล้วดีเอ็นเอของตัวอ่อนมนุษย์ซึ่งมีเพศที่แตกต่างจากเพศของผู้รับวัคซีน จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของผู้รับวัคซีน ทำให้ผู้รับวัคซีนมีพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบนในที่สุด
รวมถึงข้ออ้างที่ว่าวัคซีนจะเข้าไปกระตุ้นยีนเกย์ที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้รับวัคซีนซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากพ่อแม่ ทำให้ผู้รับวัคซีนมีพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบนเช่นกัน
ซึ่งการกล่าวอ้างทั้งหมด ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญว่าไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย
บทสรุป :
1.มนุษย์ไม่มียีนเกย์
2.ความเบี่ยงเบนทางเพศเริ่มตั้งแต่เป็นตัวอ่อน
3.วัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมไม่ได้
FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :
วัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมไม่ได้
ดร.พอล ออฟฟิต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนและกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาล Children’s Hospital of Philadelphia อธิบายว่า เซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ถูกนำมาใช้เพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสเพื่อการพัฒนาวัคซีนหลายชนิด ทั้งวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ วัคซีนอีสุกอีใส หรือหัดเยอรมัน
โอกาสที่ดีเอ็นเอตกค้างจากวัคซีนจะส่งผลต่อพันธุกรรมของผู้รับวัคซีนแทบเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากก่อนจะนำมาฉีดให้กับประชาชน จะต้องผ่านกระบวนการทำให้วัคซีนมีความบริสุทธิ์ ซึ่งปริมาณดีเอ็นเอตกค้างจากเซลล์ตัวอ่อนมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ในวัคซีนมีขนาดเล็กมาก หรือประมาณพิโกกรัมหรือ 1 ในล้านล้านกรัม
นอกจากนี้ หากเข้าสู่ร่างกาย ดีเอ็นเอตกค้างเหล่านั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของผู้รับวัคซีน เนื่องจากเป็นเพียงชิ้นส่วนของรหัสพันธุกรรม ไม่ใช่ดีเอ็นเอที่สมบูรณ์ หรือต่อให้เป็นดีเอ็นเอที่สมบูรณ์ การจะเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของผู้รับวัคซีน ดีเอ็นเอดังกล่าวต้องเข้าไปยังนิวเคลียสของเซลล์ ซึ่งดีเอ็นเอเหล่านั้นไม่มีปัจจัยใด ๆ ที่จะสามารถเข้าไปยังนิวเคลียสของเซลล์ของผู้รับวัคซีนได้
ฟรานซิสโก ซานเซส ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต ยืนยันว่า แนวคิดว่าดีเอ็นเอแปลกปลอมจากวัคซีนจะเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมมนุษย์และทำให้เบี่ยงเบนทางเพศเป็นข้ออ้างที่ไร้สาระมาก เพราะมนุษย์ได้รับดีเอ็นเอแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา ตั้งแต่การกินอาหารจนถึงการสัมผัสสารคัดหลั่งระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
หากข้ออ้างดังกล่าวเป็นจริง จะต้องเห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวในกลุ่มผู้รับบริจาคเลือดและอวัยวะ และจะทำให้การคัดกรองผู้บริจาคเลือดและอวัยวะมีความซับซ้อนมากกว่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้น
มนุษย์ไม่มียีนเกย์
แม้จะมีการค้นหายีนจำเพาะที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการข้ามเพศในมนุษย์ แต่การศึกษาหลายทศวรรษก็ไม่พบว่ามียีนดังกล่าวแต่อย่างใด
ดร.เดวิด เวอร์โฮเวน ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัส และศาสตราจารย์ภาควิชาจุลชีววิทยาสัตวแพทย์และเวชศาสตร์ป้องกัน มหาวิทยาลัยไอโฮวาสเตต ยืนยันว่าในร่างกายมนุษย์ไม่มียีนเกย์แต่อย่างใด สิ่งเดียวที่วัคซีนเข้าไปกระตุ้นการทำงานของร่างกายคือการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคต่าง ๆ เท่านั้น
ดร.เดวิด เวอร์โฮเวน มองว่าปัญหาการโต้แย้งประเด็นความหลากหลายทางเพศในสังคม สามารถแก้ได้ด้วยการให้สังคมหยุดมองว่าการเป็นคนข้ามเพศเป็นความผิดปกติหรือเป็นโรคติดต่อที่จำเป็นต้องป้องกันหรือหาทางรักษา และหันมายอมรับในความหลากหลาย ซึ่งน่าจะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมโดยรวมได้มากกว่า
ความเบี่ยงเบนทางเพศเริ่มตั้งแต่เป็นตัวอ่อน
ราเชล เลวิน นักชีววิทยาและประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยโพโมนาคอลเลจ อธิบายว่า ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ พิสูจน์ได้ว่าการเบี่ยงเบนทางเพศจะเกิดขึ้นหลังบุคคลนั้น ๆ ลืมตาดูโลก เพราะเป็นกระบวนการที่น่าจะเริ่มขึ้นตั้งแต่บุคคลนั้น ๆ ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดา
งานวิจัยหลายชิ้นต่างอ้างสมมติฐาน Prenatal Androgen Hypothesis ที่คาดว่าการได้รับฮอร์โมนเพศชายชนิดแอนโดรเจนในระหว่างที่ตัวอ่อนกำลังพัฒนาสมอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นหลังการพัฒนาอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเบี่ยงเบนทางเพศ
ราเชล เลวิน อธิบายถึงความเป็นไปได้ว่า หญิงข้ามเพศอาจเกิดจากการได้รับฮอร์โมนแอนโดรเจนน้อยเกินไประหว่างการพัฒนาสมองของตัวอ่อน ส่วนชายข้ามเพศอาจเกิดจากการได้รับฮอร์โมนแอนโดรเจนมากเกินไประหว่างการพัฒนาสมองของตัวอ่อน
นอกจากปริมาณของฮอร์โมน ปัจจัยยังมาจากการทำงานของตัวรับฮอร์โมนในเซลล์
ชายที่กลายเป็นหญิงข้ามเพศ อาจไม่ได้เกิดจากได้รับปริมาณฮอร์โมนแอนโดรเจนไม่เพียงพอ แต่อาจเป็นเพราะการทำงานของตัวรับฮอร์โมนแอนโดรเจนในสมองทำงานผิดปกติก็เป็นได้
ราเชล เลวิน ย้ำว่ากระบวนการทั้งหมด เกิดขึ้นก่อนที่มนุษย์จะลืมตาดูโลก ดังนั้นต่อให้ผู้หญิงได้รับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจำนวนมาก ก็จะไม่ทำให้เธอกลายเป็นชายข้ามเพศ หรือผู้ชายที่มีภาวะขาดแคลนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ก็ไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นหญิงข้ามเพศเช่นกัน
ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.factcheck.org/2023/06/scicheck-posts-make-false-claim-about-cause-of-gender-dysphoria/
https://www.businessinsider.com/qanon-conspiracy-theory-covid-19-vaccines-turn-kids-trans-gay-2021-2
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter