ชัวร์ก่อนแชร์: ชานมไข่มุกดื่มมากเสี่ยงนิ่วในไต จริงหรือ?

10 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลน่าสงสัยเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกดื่มมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงนิ่วในไต บทสรุป : 1.มีเคสดื่มชานมไข่มุกแทนน้ำในไต้หวันจนป่วยเป็นนิ่วในไต2.ต่างจากข่าวลือนิ่วในถุงน้ำดีเพราะชานมไข่มุกที่ไม่เป็นความจริง3.ปัจจัยเสี่ยงของชานมไข่มุกต่อสุขภาพไตคือปริมาณน้ำตาล4.ชานมไข่มุก 1 แก้วมีน้ำตาลถึง 11 ช้อนชา เท่ากับปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วัน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ข้อมูลดังกล่าว มาจากรายงานข่าวจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ Independent ของประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 ที่รายงานเคสผู้ป่วยหญิงชาวไต้หวันวัย 20 ปี ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลจากการเป็นไข้และอาการปวดอย่างรุนแรงบริเวณแผ่นหลังด้านล่าง การตรวจอัลตราซาวนด์พบว่าไตของเธอมีอาการบวมน้ำและพบนิ่วในไตจำนวนมาก ผลตรวจเลือดพบปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวจำนวนมาก ทีมแพทย์ทำการรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ ดูดของเหลวออกจากไต และทำการผ่าตัดผ่านกล้องเพื่อนำนิ่วมากกว่า 300 ชิ้นออกมาจากไตของเธอ ซึ่งแต่ละชิ้นมีขนาดประมาณ 5 มิลลิเมตรถึง 2 เซนติเมตร ดร.ลิมชียัง แพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ภาพ X-Ray ไข่มุกเต็มท้องเด็กหญิงเพราะชานม จริงหรือ?

09 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกต่อเนื่องมีความอันตราย เพราะรายงานข่าวปี 2019 พบเด็กหญิงวัย 14 ปีในมณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ป่วยด้วยอาการท้องผูกและกินอาหารไม่ได้ เมื่อแพทย์ทำการตรวจสอบด้วยวิธี CT Scan พบวัตถุลักษณะคล้ายไข่มุกที่ยังไม่ถูกย่อยจำนวนมากอยู่ในระบบทางเดินอาหาร เชื่อว่าเกิดการจากการดื่มชานมไข่มุกมากเกินไป บทสรุป : 1.ตามปกติแล้วภาพ X-Ray จะไม่เห็นอาหารในระบบทางเดินอาหาร2.ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าน่าจะมีการใช้สารแปลกปลอมในไข่มุกจนร่างกายย่อยไม่ได้ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : อย่างไรก็ดี รายงานข่าวชิ้นนี้สร้างข้อสงสัยในวงการแพทย์ เพราะตามปกติแล้ว การ X-Ray จะไม่แสดงภาพอาหารในระบบทางเดินอาหาร ลักษณะภาพจากการ X-Ray ภาพจาก X-Ray จะบ่งบอกปริมาณการดูดซับรังสีเอ็กซ์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของสสาร โดยธาตุน้ำหนักเบาจะยอมให้รังสีผ่านไปได้มาก ในขณะที่ธาตุหนักจะดูดซับรังสีไว้ เช่น แคลเซียมในกระดูกสามารถดูดซับรังสีเอกซ์ได้มากที่สุด จึงทำให้มองเห็นภาพเอกซเรย์กระดูกเป็นสีขาว ส่วนคาร์บอน ไฮโดรเจน และไนโตรเจน […]

ชัวร์ก่อนแชร์: กาเฟอีนในชานมไข่มุก 1 แก้ว = กาแฟ 4 แก้ว จริงหรือ?

07 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกส่งผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากกาเฟอีนปริมาณสูงที่อยู่ในชานมไข่มุก 1 แก้วมีปริมาณกาเฟอีนเท่ากับการดื่มกาแฟ 4 แก้ว หรือเท่ากับปริมาณกาเฟอีนที่อยู่เครื่องดื่มชูกำลัง 8 กระป๋อง บทสรุป : 1.ปริมาณกาเฟอีนขึ้นอยู่กับชนิดของชา ชาแดงมีกาเฟอีนสูงที่สุด ชาเขียวมีกาเฟอีนน้อยที่สุด2.ยิ่งใช้น้ำร้อนอุณหภูมิสูงเท่าไหร่หรือใช้เวลาชงชานานเท่าไหร่ จะทำให้ชามีกาเฟอีนเพิ่มขึ้นเท่านั้น3.เทียบในปริมาณเท่ากัน ชามีกาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังอย่างมาก4.ผู้ใหญ่ไม่ควรได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินวันละ 400 มิลลิกรัม5.เด็กไม่ควรได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินวันละ 100 มิลลิกรัม FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การระบุว่าชามีปริมาณกาเฟอีนเท่าใด ต้องพิจารณาทั้งชนิดของใบชาและวิธีการชงชา แต่กระนั้นการอ้างว่าชานมไข่มุก 1 แก้วมีกาเฟอีนเท่ากับกาแฟ 4 แก้ว และเครื่องดื่มชูกำลัง 8 กระป๋อง เป็นการอ้างที่เกินกว่าความเป็นจริง ระดับกาเฟอีนจากชนิดของใบชา ระดับกาเฟอีนของชาชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับเวลาในการเก็บเกี่ยวและระดับการออกซิเดชันของใบชา เมื่อเทียบชาแต่ละชนิดในปริมาณที่เท่ากัน (237 ml) […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ชานมไข่มุก ไม่มีนมผสม+ไขมันทรานส์ จริงหรือ?

06 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับชานมไข่มุกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในต่างประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกทุกวันนี้มีแต่อันตราย เพราะนอกจากจะไม่มีส่วนผสมของชาแล้ว ยังมีการใช้ครีมเทียมมาชงแทนนมซึ่งเป็นอันตราย เนื่องจากมีส่วนประกอบของไขมันทรานส์ซึ่งเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดหัวใจ บทสรุป : 1.ชานมไข่มุกมีทั้งสูตรที่ชงด้วยนมสดและสูตรที่ชงด้วยครีมเทียม2.หลังปี 2018 มีการปรับปรุงการผลิตครีมเทียมไม่มีเกิดไขมันทรานส์แล้ว3.แม้จะไม่ใช่แหล่งไขมันทรานส์ แต่การดื่มชานมไข่มุกผสมครีมเทียมมาก ๆ เป็นการสะสมไขมันอิ่มตัวในร่างกาย4.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันเกิน 30%5.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันอิ่มตัวเกิน 10%6.ใน 1 วันไม่ควรรับพลังงานจากไขมันทรานส์เกิน 1% FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ความเชื่อดังกล่าว เป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโทษของการบริโภคครีมเทียมในอดีต เพราะในปัจจุบันหลายประเทศมีข้อบังคับการผลิตครีมเทียมโดยแทบไม่มีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบอีกต่อไป สาเหตุการเกิดไขมันทรานส์จากการผลิตครีมเทียม ครีมเทียม (Non-Dairy Creamer) คือผลิตภัณฑ์เลียนแบบครีมจากนมโคที่ผลิตจากไขมันพืช เช่นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์ม นอกจากเพิ่มอรรถรสให้เครื่องดื่มแล้ว ยังเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่แพ้นมวัว และยังมีราคาถูกกว่าครีมจากนมโคอีกด้วย แต่เดิมการผลิตครีมเทียมจะมีการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oil) ทำให้คุณสมบัติของไขมันในครีมเทียมเปลี่ยนจากกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวกลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัว […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที จริงหรือ?

04 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ความดันลดแล้ว เลิกใช้ยาลดความดันได้ทันที บทสรุป : 1.เมื่อหยุดใช้ยาลดความดัน ความดันโลหิตอาจกลับมาสูงเหมือนเดิม2.การหยุดยาลดความดันด้วยตนเอง อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เนื่องจากความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวังไปตลอดชีวิต การใช้ยาลดความดันจนความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหากหยุดใช้ยาแล้ว ความดันโลหิตจะไม่กลับมาสูงอีกครั้ง ปาร์วีน การ์ก แพทย์โรคหัวใจ สถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาล Keck Hospital of USC ย้ำว่า ความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่อยู่กับผู้ป่วยไปตลอดชีวิต การใช้ยาลดความดันไม่ใช่การรักษา แต่เป็นแค่การควบคุมความดันให้อยู่ในระดับปกติเท่านั้น เมื่อหยุดใช้ยาลดความดัน ความดันโลหิตก็จะกลับมาสูงอีกเหมือนเดิม อันตรายจากการหยุดยาลดความดันด้วยตนเอง อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต อาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงได้ เช่น หลอดเลือดในสมองแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำการใช้ยาลดความดันอย่างปลอดภัย 4 ข้อ […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ใช้ยาลดความดันแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับพฤติกรรม จริงหรือ?

02 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ใช้ยาลดความดันแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับพฤติกรรม จริงหรือ? บทสรุป : 1.สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่มีสิ่งใดทดแทนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้2.การใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : การได้รับยาลดความดันจนความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ไม่ได้หมายความว่าการออกกำลังกายหรือการงดอาหารทำร้ายสุขภาพจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคู่กันไป เพื่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพ ปาร์วีน การ์ก แพทย์โรคหัวใจ สถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาล Keck Hospital of USC ชี้แจงว่า ไม่มีสิ่งใดทดแทนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการกินอาหารเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกาย สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เพราะเป็นวิธีป้องกันความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจจากความดันโลหิตสูงที่ดีที่สุด เหตุผลที่แพทย์จ่ายยาลดความดันเป็นเพราะวินิจฉัยแล้วว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอให้ความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ ลุค ลัฟฟิน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์โรคความดันโลหิต สถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic อธิบายว่า การใช้ยาลดความดันและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างเอื้อประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั้งสองทาง เช่นในกรณีผู้ป่วยที่ใช้ยาลดความดันชนิด ACE inhibitors ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำให้หลอดเลือดตีบและช่วยให้หัวใจทำงานหนักลดลง […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ไม่ปรุงเกลือ/น้ำปลาเพิ่ม ป้องกันโรคความดัน 100% จริงหรือ?

01 มิถุนายน 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : ไม่ปรุงเกลือ/น้ำปลาเพิ่ม ป้องกันโรคความดัน 100% บทสรุป : 1.โซเดียมไม่ได้มีแต่ในเกลือหรือของเค็มเท่านั้น2.ในอาหารปรุงสำเร็จต่าง ๆ รวมถึงขนมที่ใช้ผงฟูล้วนอุดมไปด้วยโซเดียมปริมาณสูง3.การคุมอาหารแบบ DASH ช่วยลดความดันโลหิตอย่างมีประสิทธิภาพ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เกลือ หรือ โซเดียมคลอไรด์ ส่งผลต่อความดันโลหิต เมื่อร่างกายต้องเพิ่มปริมาณน้ำในหลอดเลือดมากกว่าปกติเพื่อเจือจางโซเดียมในกระแสเลือด นอกจากนี้ เกลือยังทำให้หลอดเลือดหดตัวในระยะยาวอีกด้วย อันเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดความดันโลหิตสูงอย่างชัดเจน สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา (AHA) แนะนำให้บริโภคโซเดียมต่อวันไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม เทียบเท่ากับปริมาณเกลือ 1 ช้อนชา หรือน้ำปลา 4 ช้อนชา และแนะนำให้ผู้สูงอายุบริโภคโซเดียมต่อวันไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม ขณะที่ผลสำรวจพบว่าชาวอเมริกันบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 3,400 มิลลิกรัม ส่วนคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยวันละ 4,300 มิลลิกรัม โซเดียมไม่ได้มีแต่ในเกลือหรือของเค็ม […]

ชัวร์ก่อนแชร์: โรคความดันจากกรรมพันธุ์ป้องกันไม่ได้ จริงหรือ?

31 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลน่าสงสัย : โรคความดันจากกรรมพันธุ์ป้องกันไม่ได้ บทสรุป : การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยชะลอหรือบรรเทาความรุนแรงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เอกสาร Family History and High Blood Pressure ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุว่า ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 1 รายที่มีประวัติป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงก่อนอายุ 60 ปี จะมีความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า แต่กระนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ช่วยชะลอหรือบรรเทาความรุนแรงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ ลุค ลัฟฟิน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์โรคความดันโลหิต สถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic อธิบายว่า การควบคุมน้ำหนักตัว ออกกำลังกายบ่อย ๆ ไม่สูบบุหรี่ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ นอกจากจะช่วยให้การเกิดโรคความดันโลหิตสูงช้าลงแล้ว […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ผู้ชายเสี่ยงโรคความดันมากกว่าผู้หญิง จริงหรือ?

30 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : ผู้ชายเสี่ยงโรคความดันมากกว่าผู้หญิง บทสรุป : 1.ในช่วงวัยกลางคนจะพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง2.แต่ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงความดันโลหิตสูงในผู้หญิงจะเริ่มมากกว่าผู้ชาย FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : แม้ปกติแล้ว ในช่วงวัยกลางคนจะพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงความดันโลหิตสูงในผู้หญิงจะเริ่มมากกว่าผู้ชาย ศาสตราจารย์ แอนเจลา มาส์ ผู้อำนวยการกิตติคุณโครงการสุขภาพหัวใจสตรี ศูนย์การแพทย์ Radboud University Medical Center ประเทศเนเธอร์แลนด์ อธิบายว่า ความเข้าใจผิดมาจากในช่วงอายุก่อน 50 ปี จะพบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่ผู้หญิงจะเริ่มมีปัญหาความดันโลหิตสูงหลังหมดประจำเดือน ดังนั้นจึงเริ่มพบผู้หญิงป่วยเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ชายหลังอายุ 65 ปีขึ้นไป บ่อยครั้งที่ความเชื่อว่าความดันโลหิตสูงเกิดกับผู้ชายมากกว่า ทำให้ผู้หญิงหลายคนมองข้ามว่า อาการผิดปกติของร่างกายเกิดจากภาวะหมดประจำเดือน ความกังวล หรือความเครียด เช่น อาการใจสั่น เจ็บหน้าอก ปวดศีรษะ หายใจลำบาก เหนื่อยง่าย […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ความดันสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท ถึงอันตราย จริงหรือ?

29 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : ความดันสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท ถึงอันตราย บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าระดับของความดันโลหิตที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 140/90 มม.ปรอท แต่กระนั้น สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด ควรมีความดันโลหิตไม่เกิน 130/80 มม.ปรอท ได้แก่ ข้อมูลจาก สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย จำแนกระดับความดันโลหิต (มิลลิเมตรปรอท) ตามความรุนแรงในผู้ใหญ่ อายุ 18 ปีขึ้นไป ได้ดังนี้ ความดันซิสโทลิก SBP (มิลลิเมตรปรอท) / ความดันไดแอสโทลิก DBP (มิลลิเมตรปรอท) 1.ความดันโลหิต ระดับ เหมาะสม (optimal) < 120 […]

ชัวร์ก่อนแชร์: อาการจากโรคความดันโลหิตสูงสังเกตได้ง่าย จริงหรือ?

27 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : อาการจากโรคความดันโลหิตสูงสังเกตได้ง่าย บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ความดันโลหิตสูง ได้รับฉายาว่า ฆาตกรเงียบ หรือ Silent Killer เนื่องจากเป็นโรคที่สามารถพบได้โดยผู้ป่วยไม่แสดงอาการใด ๆ ปาร์วีน การ์ก แพทย์โรคหัวใจ สถาบันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาล Keck Hospital of USC ชี้แจงว่า ส่วนใหญ่แล้ว จะมีแต่ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงระดับรุนแรงเท่านั้นที่แสดงอาการผิดปกติอย่างเด่นชัด แต่การมีความดันโลหิตสูงเป็นเวลานาน จะส่งผลเสียต่อหลอดเลือดอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่แสดงอาการใด ๆ ก่อนหน้านั้นเลยก็ตาม การที่มีความดันโลหิตสูงอยู่นาน ๆ หากไม่ได้รับการรักษา จะทำให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดตามอวัยวะต่าง ๆ นำไปสู่โรคหัวใจจากหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย ตาบอด ไตพิการ เนื้อสมองตายเนื่องจากหลอดเลือดตีบหรือแตก […]

ชัวร์ก่อนแชร์: ครีมกันแดดถูกเรียกคืนเพราะมีสารก่อมะเร็ง จริงหรือ?

23 พฤษภาคม 2568แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล ข้อมูลที่ถูกแชร์ : มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความปลอดภัยของครีมกันแดดเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยอ้างว่าในครีมกันแดดมีสารก่อมะเร็งอย่าง เบนซีน เป็นส่วนประกอบ นำไปสู่การเรียกคืนครีมกันแดดที่มีเบนซีนเป็นส่วนประกอบอย่างแพร่หลาย บทสรุป : FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง : เบนซีน (Benzene) คือสารประกอบอินทรีย์ ใช้เป็นตัวทำละลายในการผลิตสารเคมีสำหรับภาคอุตสาหกรรม และเป็นส่วนประกอบในน้ำมันเชื้อเพลิง องค์กรวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เบนซีนเป็นสารก่อมะเร็งระดับที่ 1 การได้รับสารเบนซีนเป็นเวลานานทำให้เกิดผลกระทบต่อไขกระดูก อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางและมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ พบการปนเปื้อนเบนซีนในครีมกันแดด เมื่อปี 2021 ทางการสหรัฐฯ ได้ส่งผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดและผลิตภัณฑ์ดูแลหลังออกแดดจำนวน 294 ชุดจาก 69 แบรนด์ ไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ โดยพบว่า 78 ชุดหรือประมาณ 1 ใน 4 มีการปนเปื้อนเบนซีน ซึ่งส่วนใหญ่พบในครีมกันแดด ครีมกันแดดครึ่งหนึ่งพบปริมาณเบนซีนต่ำกว่า […]

1 3 4 5 6 7 45