รัฐสภา 28 มิ.ย.- กรมการค้าภายใน อ่วม เจอกมธ.งบฯ ซักพร้อม จี้แก้ปุ๋ย-น้ำมันปาล์มแพง ระบุอย่าโยนบาปให้ ก.พลังงาน
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช พลังประชารัฐ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ร่วมแถลงผลการประชุมร่าง พ.ร.บ.งบ 2566
นายสัณหพจน์ กล่าวว่า ในการพิจารณางบประมาณของกรมการค้าภายใน งบประมาณจำนวน 911,222,500 บาท ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับปัญหาราคาสินค้า โดยเฉพาะปุ๋ยซึ่งมีราคาแพงขึ้นอย่างมาก จนกระทบกับต้นทุนการผลิตสินค้าทางการเกษตรของเกษตรกร ทั้งนี้ กมธ.บางคนได้สอบถามว่า จากปัญหาดังกล่าวหน่วยงานมีแนวทาง แก้ไขปัญหาราคาปุ๋ยแพง หรือมีแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรอย่างไร เพราะในแต่ละปี ประเทศไทยต้องใช้ปุ๋ยเพื่อทำการเกษตรถึง 100 ล้านกระสอบ แต่ราคาปุ๋ยปัจจุบันขึ้นจาก 800 บาท เป็นประมาณ 2,000 บาท แล้ว ทำให้เกษตรกร ไม่มีเงินเพียงพอที่จะใช้ซื้อปุ๋ยเพื่อทำการเกษตร บางคนถึงขั้นต้องกู้เงินนอกระบบมาซื้อปุ๋ย จากปัญหาดังกล่าว มีกมธ.บางคน ให้ข้อเสนอแนะว่า หน่วยงานอาจประสาน ให้กระทรวงการคลังออกเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อให้เกษตรกรมีเงินไปซื้อปุ๋ย หรืออาจให้รัฐบาล ช่วยอุดหนุนปุ๋ยให้เกษตรกรครัวเรือนละ 5 กระสอบต่อปี เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน
นายสัณหพจน์ กล่าวว่า ผู้แทนของกรมการค้าภายใน ชี้แจงว่า ในเบื้องต้นหน่วยงานได้จัดทำโครงการจัดหาปุ๋ยเคมีในราคาถูก เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณ มีความเห็นว่า การช่วยเหลือเรื่องปุ๋ยเคมีเป็นการช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิตซึ่งเป็นภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนั้น หน่วยงานจึงได้ประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อรับไปดำเนินการ ช่วยเหลือให้เกษตรกรซื้อปุ๋ยเคมีในราคาที่ถูกลงเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ประเทศไทยนำเข้าปุ๋ยจากประเทศจีน ประเทศแคนาดา และประเทศรัสเซีย โดยราคาปุ๋ยในตลาดโลกได้ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะค่าขนส่งทางเรือปรับสูงขึ้นจึงส่งผลต่อต้นทุนการขนส่ง นอกจากนี้ ประเทศจีนยังมีนโยบายห้ามส่งออกปุ๋ย เพราะประเทศจีนต้องการเก็บปุ๋ยไว้ใช้ในประเทศ และภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้เรือขนส่งไม่สามารถเข้าไปรับสินค้าได้ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเรื่องปุ๋ยเคมีจะต้องพิจารณาใน 2 ประเด็น คือ ปริมาณปุ๋ยเคมีต้องมีเพียงพอไม่ขาดแคลน และเกษตรกรได้รับผลกระทบด้านราคาน้อยที่สุด
“วานนี้กรมการค้าภายในเจอกฐินเยอะ คือมี กมธ.หลายคนถาม เพราะเป็นส่วนงานที่มีผลต่อการค้าและเกษตรกรรม อันจะส่งผลต่อผลกระทบเรื่องอื่น ๆ ดังนั้น จึงอย่าเพิ่งโยนบาปไปให้ในส่วนพลังงานอย่างเดียว และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต้องเดินให้ถึง ไม่เช่นนั้นจะไม่รู้ความจริง” นายสัณหพจน์ กล่าว
นายสัณหพจน์ กล่าวว่า นอกจากราคาปุ๋ยแพงแล้ว ยังมีสินค้าทางการเกษตรอีกหลายชนิดที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้น เช่น น้ำมันปาล์มซึ่งนำมาใช้ในการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันสำหรับประกอบอาหาร ซึ่งมี กมธ.บางคน ได้สอบถามว่า ประชาชนสอบถามมาจำนวนมากว่า น้ำมันปาล์มขวดราคา เพิ่มขึ้นไปถึงลิตรละ 70 บาทแล้ว ซึ่งเกษตรกรอาจได้รับประโยชน์จากราคาผลปาล์มเพิ่มสูงขึ้น แต่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันปาล์มอาจได้รับผลกระทบ ด้วยเหตุนี้ จึงต้องสอบถามหน่วยงานว่า มีแนวทางหรือกลไกอย่างไร เพื่อสมดุลประโยชน์ให้เกษตรกรอยู่ได้ และผู้บริโภคไม่เดือดร้อน
นายสัณหพจน์ กล่าวว่า ผู้แทนของกรมการค้าภายใน ชี้แจงว่า หน่วยงานให้ความสำคัญว่า จะทำอย่างไรให้เกษตรกรได้ประโยชน์มากที่สุด และประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ทั้งนี้ ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่มีผลผลิตน้ำมันปาล์มมหาศาล เคยประกาศว่าจะจำกัดการส่งออกน้ำมันปาล์ม แต่ปัจจุบันได้กลับมาส่งออกน้ำมันปาล์มแล้ว หรือประเทศมาเลเซียได้มีนโยบายที่จะผลักดันการส่งออกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานได้ตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มขึ้นมา ซึ่งมีผู้แทนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการทุกภาคส่วนมาร่วมกันพิจารณาให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์เป็นระยะ
นายสัณหพจน์ กล่าวว่า กมธ. ยังเสนอความเห็นในส่วนเรื่องการชั่งตวงวัดสินค้าทางการเกษตรว่า ควรจะมีตัวแทนของผู้นำท้องถิ่นและเกษตรกร เข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อตรวจเช็กความแม่นยำ และเสนอให้เครื่องชั่งตำบลละ 1 ตราชั่ง เพื่อใช้ส่วนกลาง ส่วนเรื่องข้าว ทาง กมธ.ระบุว่า ชาวบ้านและเกษตรกรก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า มีการทำเป็นขบวนการกำหนดราคาขึ้นลงหรือไม่.-สำนักข่าวไทย