กรุงเทพฯ 10 มิ.ย.-กรมประมงลงนามความร่วมมือกับมูลนิธิเวิลด์วิว อินเตอร์เนชั่นแนลและมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท ประสานความมุ่งมั่นด้านการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งสู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
ดร.อาร์เน่ ฟเยอทอฟท์ เลขาธิการผู้ก่อตั้งมูลนิธิเวิลด์วิว อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมด้วยนาย อลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิ เวิลด์วิว ไคลเมท และนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมงร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการดำเนินงานกิจกรรมด้านการป้องกัน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาระบบนิเวศทางทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ประสานความมุ่งมั่นในการการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งสู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมงกล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกต่างตื่นตัวและให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การปล่อยมลพิษทางน้ำ การทำประมงที่เกินศักยภาพส่งผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ กรมประมงในฐานะหน่วยงานภาครัฐซึ่งมีภารกิจในการศึกษา วิจัย และพัฒนาด้านการประมงเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมและสามารถใช้ประโยชน์สำหรับการประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน จึงได้ประสานความร่วมมือกับมูลนิธิเวิลด์วิว อินเตอร์เนชั่นแนล (WIF) และมูลนิธิ เวิลด์วิว ไคลเมท (WCF) ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนการปกป้องและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมรวมถึงการพัฒนาความเป็นอยู่อย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย การพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals: SDGs) ในเป้าหมายที่ 13 Climate Action และเป้าหมายที่ 14 Life Below Water รวมถึงสนธิสัญญาปารีส (Paris Climate Agreement) ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการดำเนินงานกิจกรรมด้านการป้องกัน ฟื้นฟู อนุรักษ์ และพัฒนาระบบนิเวศทางทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์แหล่งอาศัยและความหลากหลายของสัตว์ทะเลในพื้นที่ชายฝั่งทะเล พร้อมขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคมสู่การสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชน เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นด้วย โดยกรมประมงได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวประมงใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำในปริมาณที่เหมาะสมตามหลักวิชาการ ไม่ให้เกินกำลังการผลิตของธรรมชาติ พร้อมฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำและระบบนิเวศทางทะเลเช่น การจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล (ปะการังเทียม) การจัดตั้งธนาคารสัตว์น้ำชุมชน การผลิตพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อปล่อยสู่ธรรมชาติ รวมทั้งรักษาพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้เป็นพื้นที่เลี้ยงตัวของสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นต้น นอกจากนี้ กรมประมงยังให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน เพื่อลดภาวะโลกร้อน ด้วยการจัดทำโครงการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถดูดซับคาร์บอนไปกักเก็บและเคลื่อนย้ายไปยังพื้นทะเลได้ และยังเป็นการพัฒนาอาชีพและเสริมรายได้แก่ชุมชนและผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทาน
นอกจากนี้ทั้ง 3 ฝ่ายยังประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพในหัวข้อต่าง ๆ ได้แก่ แนวทางและโอกาสในการพัฒนาสาหร่ายทะเลในประเทศไทย การพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม Blue cabon เช่น สาหร่ายทะเล ป่าโกงกาง และหญ้าทะเล เป็นต้น รวมถึงการปกป้อง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ทรัพยากรประมง ตลอดจนระบบนิเวศชายฝั่งของไทยให้เกิดความสมดุลและใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน พร้อมเห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว .-สำนักข่าวไทย