รร.รามาการ์เดน 6 มิ.ย.-กอนช.แถลงผลงานบริหารจัดการน้ำ หลังบูรณาการการทำงาน ปีที่แล้วไม่มีประกาศภัยแล้ง “พล.อ.ประวิตร” มอบ 4 นโยบายเดินหน้าต่อ ใช้ผลสำเร็จมาถอดบทเรียน กำชับทุกหน่วยหาแหล่งน้ำเพิ่มของตนเอง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เป็นประธานแถลงผลงานการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้ง ปี 2564/65 และการเตรียมรับมือฤดูฝน ปี 2565 โดยมีนายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนทุกหน่วยงานด้านน้ำร่วมงาน อาทิ กระทรวงมหาดไทย กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน
พล.อ. ประวิตร กล่าวก่อนมอบนโยบายว่า ขอสั่งให้ทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบการผลิตน้ำประปา สำรวจแหล่งน้ำสำรองสำหรับผลิตน้ำประปา ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้การผลิตน้ำประปาต้องใช้น้ำจากลุ่มน้ำ ซึ่งจะทำให้การคำนวณปริมาณน้ำคลาดเคลื่อนไป รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ขอให้มีแหล่งน้ำสำรองของตนเอง
จากนั้น พล.อ.ประวิตร มอบนโยบายว่า เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุด ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมอบนโยบาย 4 ข้อ ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ได้แก่ 1. ให้จัดทำแผนปฏิบัติการแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจน และดำเนินการตามแผน ติดตามแผนประเชิญเหตุ วางแผน จัดเก็บน้ำสำรองทุกแห่ง ทั้งผิวดินและใต้ดินเพื่อรองรับฤดูแล้ง 2. ให้ความสำคัญต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำและ อนุกรรมการน้ำจังหวัดที่แต่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ 2561
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า 3. ให้หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับบริหารจัดการน้ำ ทางอุทกภัยและภัยแล้งให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขณะเดียวกันให้เตรียมพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อรองรับการเก็บน้ำโดยเร็ว 4. ให้สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลทรัพยากรน้ำและเสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้กับเครือข่ายภาคประชาชนบริหารจัดการน้ำในชุมชน เพื่อสนับสนุนการแก้ไข ปัญหาน้ำทั้งระบบต่อไป ในแต่ละปี มีน้ำมหาศาลถูกทิ้งลงสู่ทะเล แต่พอถึงหน้าแล้งก็ไม่มีน้ำใช้ ขอให้ถอดบทเรียนความสำเร็จปีที่ผ่านมา ที่ไม่ประกาศพื้นที่ภัยแล้งและเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้อย่างทั่วถึง
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. ในฐานะรองผู้อำนวยการกอนช. กล่าวว่า ทุกหน่วยงานร่วมบูรณาการตามกรอบปฏิทินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้ง ทั้งก่อนฤดู ระหว่างฤดูและสิ้นสุดฤดู โดยวางแผนบริหารจัดการน้ำ คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงภัย กำหนด 9 มาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง ปี 64/65 พร้อมรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการเป็นระยะ อีกทั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 65 รวม 2,525 โครงการ มีพื้นที่รับประโยชน์ 67,616 ไร่ ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 33.88 ล้าน ลบ.ม. และประชาชนได้รับประโยชน์ 76,004 ครัวเรือน นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานได้ร่วมถอดบทเรียนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้ง เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อนำไปปรับปรุงมาตรการรับมือภัยแล้งในปีถัดไปด้วย
ส่วนการบริหารจัดการภัยแล้งปีที่ผ่านมา นายสุรสีห์ กล่าวว่า ได้กำหนดพื้นที่เพาะปลูกและทำเกษตรเกินพื้นที่เพาะปลูก แต่สามารถบริหารจัดการได้ จนถึงขณะนี้ ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น ขณะเดียวกันส่งเสริมความเข้มแข็งในการบริหารจัดการน้ำในชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทานและยังจัดหาแหล่งน้ำสำรอง ทั้งแหล่งน้ำผิวดินและใต้ดิน เพื่อจัดทำบัญชีแหล่งน้ำ นำไปสู่การแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ นอกจากนี้ ยังเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ ซึ่งปีนี้นอกเหนือจากค่าความเค็มที่เกิดจากน้ำทะเลหนุนแล้ว ยังเฝ้าติดตามคุณภาพน้ำเสียจากชุมชนเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการได้บูรณาการการทำงานในปีที่ผ่านมา และไม่ประกาศภัยแล้งทั่วประเทศ ส่วนการรองรับฤดูฝนที่กำลังมาถึงในปี 2565 ปรับเพิ่มเป็น 13 มาตรการ จากเดิมปี 2564 ที่มี 10 มาตรการ เช่น การคาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำ การปรับปรุงระบบการระบายน้ำ และสิ่งกีดขวางทางน้ำตลอดจนตรวจความมั่นคงปลอดภัยของคัน ทำนบและพนังกั้นน้ำ เป็นต้น
นายสุรสีห์ กล่าวว่า สำหรับการบริหารจัดการน้ำฤดูฝน ปี 2565 ที่มีปริมาณน้ำต้นทุนของแหล่งน้ำทั่วประเทศ รวม 46,660 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 57% ซึ่งในภาพรวมมีปริมาณน้ำต้นทุนมากกว่าปี 64 ดังนั้น หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ กอนช. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบในช่วงฤดูฝน คือ คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมรายเดือนตั้งแต่เดือน พ.ค.–ธ.ค. ปี 2565 ที่มีข้อมูลระบุรายพื้นที่ระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล เพื่อให้หน่วยงานได้เตรียมพร้อมแผนปฏิบัติในเชิงพื้นที่ได้อย่างตรงจุด รวมถึงการใช้แผนที่ฝน one map ติดตามสภาพฝนรายภาคในระยะ 3 เดือนนี้อย่างใกล้ชิด (มิ.ย.-ส.ค.) เพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนต่าง ๆ นำไปวางแผนเก็บกักน้ำหรือระบายน้ำเกิดความสมดุลมากที่สุด.-สำนักข่าวไทย