พรรคกล้า 7 มี.ค.-“กรณ์” แนะรัฐบาลหามาตรการช่วยเกษตรกร เหตุรัสเซียงดส่งออกวัตถุดิบปุ๋ยเคมี ย้ำภาวะสงครามกระทบไทย คิดแบบสถานการณ์ปกติไม่ได้ วอนเพื่อนนักการเมืองช่วยกันหาทางออก ไม่ใช่ปลุกปั่น
นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนว่า เป็นห่วงมาก โดยเฉพาะผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศไทย ผลกระทบต่อราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช้านี้(7 มี.ค.) ราคานํ้ามันตลาดโลกกระโดดขึ้น 10% บวกกับมาตรการประธานาธิบดีปูตินเมื่อวาน(6 มี.ค.) ที่แนะนำผู้ผลิตปุ๋ยเคมีของรัสเซียรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก ให้งดการส่งออกวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยเคมี ซึ่งนอกจากเป็นผู้ผลิตโปแตช (Potash) รายใหญ่และรัสเซียมีสัดส่วนตลาดการส่งออกยูเรีย (Urea) และแอมโมเนีย (Ammonia) สูงมากถึง 15% และ 20% ปุ๋ยเคมีจะราคาสูงขึ้นไปอีก หลังจากที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะขาดตลาดได้
“ทั้งสองเรื่องนี้ มีกระทบกับเราโดยตรงแน่นอน ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องคนไทยทุกคนอยู่แล้ว แต่การงดการส่งออกวัตถุดิบและปุ๋ยเคมีที่รัสเซียผลิตนั้น จะส่งผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะเกษตรกรรายเล็ก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องปรับตัว ปรับมาตรการ เตรียมที่จะช่วยเหลือเกษตรกรรายเล็กโดยเร็ว ต้องมีความใกล้ชิดในการประสานกับภาคเอกชนมากขึ้น ว่าจะหาทางออกให้กับวิกฤตนี้ ให้กับเกษตรกรในฐานะผู้ใช้ปุ๋ยอย่างไร” หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว
นายกรณ์ กล่าวว่า ราคาปุ๋ยเคมีในประเทศ มีการกำหนดเพดานราคาไว้ ซึ่งราคาปัจจุบัน ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเป็นราคาที่ทำให้ผู้ผลิตขาดทุน เพียงแค่ในส่วนของวัตถุดิบก็ขาดทุนแล้ว ยังไม่ได้รวมถึงต้นทุนในแง่การผลิตอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่เราต้องหลีกเลี่ยงคือต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการผลิตปุ๋ยเคมีในประเทศน้อยลงเกินกว่าความต้องการของตลาด บวกกับข้อเท็จจริงราคาส่งออกไม่เคยมีการกำหนดเพดาน หมายความว่าจากนี้ไปสำหรับผู้ผลิตในประเทศ น่าจะเลือกส่งออกมากกว่าที่จะขายในประเทศ ทำให้เรามีโอกาสเกิดสภาวะปุ๋ยขาดตลาด ปุ๋ยที่ขาดตลาด จะนำไปสู่การซื้อขายปุ๋ยในตลาดมืด ซึ่งแน่นอนว่าจะมีการซื้อขายในราคาที่เหนือกว่าราคาเพดานที่รัฐบาลกำหนดไว้ สร้างความเดือดร้อนเพิ่มเติมให้กับพี่น้องเกษตรกร
“ข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไปทุก ๆ วันนี้ รัฐบาลต้องคอยติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด มีความยืดหยุ่นพิจารณามาตรการที่เหมาะสม อย่ายึดติดกับวิธีการควบคุมหรือแก้ปัญหาในสภาวะปกติ ช่วงสงครามปัจจุบัน ไม่ใช่สภาวะปกติ รัฐบาลต้องตื่นตัว ต้องประสานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน ต้องติดตามข่าว ข้อมูล และประเมินสถานการณ์ให้ถูกต้อง เพื่อดูแลปากท้องของประชาชน สุดท้ายอยากฝากถึงเพื่อนนักการเมืองทุกพรรคว่าช่วงนี้ไม่น่ามีเรื่องอะไรที่สำคัญมากกว่าเรื่องปากท้องของประชาชน กรณีสงครามยังเห็นมีความพยายามปลุกปั่นให้คนไทยเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน เรามาสุมหัวช่วยกันคิดหาทางออกการแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง เรื่องปัญหาเศรษฐกิจให้กับบ้านเมืองดีกว่า” หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว.-สำนักข่าวไทย
