ระยอง 1 ก.พ.- อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ระบุปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันบนผิวน้ำทะเลใกล้จบ แต่การเก็บกู้ตามแนวชายฝั่ง การฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการเยียวยาความเสียหาย ยังต้องใช้เวลาอีกนานและต้องทำอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กล่าวว่า ปฏิบัติการบนผิวน้ำทะเลเพื่อขจัดคราบน้ำมันใกล้จบ เนื่องจากสำรวจทั้งทางเรือและทางอากาศไม่พบคราบน้ำมันแล้ว โดยเตรียมลดระดับสถานการณ์ฉุกเฉิน หากไม่พบคราบน้ำมันทั้งในทะเล ชายฝั่ง และใต้น้ำ เป็นเวลาต่อเนื่อง 3 วัน แต่ปฏิบัติการใต้ทะเลและบนบกยังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งมีภารกิจเก็บกู้ตามแนวชายฝั่ง การป้องกันและฟื้นฟูความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเลและสิ่งแวดล้อม การชดเชยเยียวยาอย่างเป็นธรรม การรับผิดชอบตามกฎหมาย ซึ่งยังต้องใช้เวลาไม่น้อยและต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย โดยไม่ต้องการให้ลืมหรือจบกันไป รวมถึงให้นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและปฏิบัติการแก้ไขทั้งหมดเป็นบทเรียน แต่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก
ส่วนผลการตรวจคุณภาพน้ำทะเล โดยตรวจวิเคราะห์ค่าโลหะหนัก ได้แก่ ปรอท ทองแดง แคดเมียม ตะกั่ว และเหล็ก รวมถึงค่าปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนทั้งหมด (TPH) รวม 6 จุด ตั้งแต่หาดสุชาดา ถึงหาดแม่รำพึง พบว่า เบื้องต้นคุณภาพน้ำทะเลพารามิเตอร์พื้นฐานอยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนการตรวจคุณภาพน้ำทะเล ตั้งแต่หาดพยูน ถึงอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด เบื้องต้นพบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่พบคราบน้ำมัน โดยจะเฝ้าระวังและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ได้สรุปต่อศูนย์ปฏิบัติการฯ ถึงปริมาณของเสียที่เก็บกู้ได้ ตั้งแต่วันที่ 29-31 มกราคมดังนี้
1) น้ำและน้ำมัน 12.20 ตัน
2) วัสดุปนเปื้อนน้ำมัน ได้แก่ ตัวดูดซับและ Boom 12 ตัน
3) ทรายปนเปื้อนน้ำมัน 39.50 ตัน
นอกจากนี้บริษัท SPRC จะต้องรายงานปริมาณการใช้สารขจัดคราบน้ำมันมายังกรมควบคุมมลพิษด้วย
นายโรเบิร์ต โจเซฟ โดบริค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ทำหนังสือรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลที่ทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล (SPM) ต่อกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 โดยระบุว่า มีปริมาณน้ำมันรั่วไหลประมาณระหว่าง 20-50 ตัน หรือเทียบเท่า 140-375 บาร์เรล ทั้งนี้ นักประดาน้ำได้ตรวจสอบอุปกรณ์ใต้น้ำทะเล และสามารถระบุจุดที่เสียหายของท่ออ่อนใต้ทะเลได้
ทาง SPRC ได้ขจัดคราบน้ำมันในทะเล ประเมินและตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุของการรั่วไหล ร่วมกับบริษัทประกันภัยในกระบวนการสอบสวนและประเมินเหตุการณ์
สำหรับประกันภัยของบริษัท มีดังนี้
– ประกันภัยคุ้มครองทรัพย์สินและการหยุดชะงักของธุรกิจ โดยมีทุนประกัน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ความรับผิดชอบส่วนแรก 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ 24 เดือน (ความรับผิดชอบส่วนแรก 60 วัน)
– ความรับผิดต่อบุคคลที่สาม โดยมีทุนประกันทั้งหมด 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ความรับผิดชอบส่วนแรก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเหตุการณ์
ทั้งนี้ บริษัทยังคงแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว และกลั่นด้วยความปลอดภัยอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อลูกค้า.-สำนักข่าวไทย