กรุงเทพฯ 25 ม.ค. – “รมว. วราวุธ” สั่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเฝ้าระวังผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเลจากเหตุเรือบรรทุกน้ำมันอับปาง จ. ชุมพร พร้อมให้ทำงานร่วมกับกองทัพเรือเข้าตรวจสอบสาเหตุ ประเมินสถานการณ์ และจัดเก็บคราบน้ำมันซึ่งคาดว่า จัดเก็บได้ใน 7 วันและกู้เรือได้ใน 15 วัน
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวถึงเหตุการณ์เรือบรรทุกน้ำมันดีเซลกว่า 5 แสนลิตรชื่อ “ป. อันดามัน 2” ของบริษัท ไทยแหลมทองค้าน้ำมันประมง จำกัดอับปางกลางอ่าวไทยว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรายงานผลการตรวจสอบความรุนแรงเบื้องต้นของสถานการณ์ว่า ยังอยู่ในระดับ 1 (Tier I) โดยมีน้ำมันรั่วไหลขนาดเล็ก ไม่เกิน 20 ตันลิตร ซึ่งจะต้องใช้ทุ่นกักเก็บน้ำมัน (Boom) ความยาวกว่า 800 เมตร พร้อมใช้สารขจัดคราบน้ำมันกว่า 700 ลิตร เพื่อจัดการคราบน้ำมันดังกล่าว แต่ยังคงต้องเฝ้าสังเกตการณ์ในพื้นที่ หากสถานการณ์ถูกยกระดับเป็นระดับ 2 (Tier II) โดยมีน้ำมันรั่วไหลราว 20 – 100 ตันลิตร ทางกองทัพเรือจะจัดตั้งศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการในการขจัดคราบน้ำมัน ตามแผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งทราบว่า อยู่ระหว่างเตรียมการ
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า กำชับให้กรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งประสานความร่วมมือกับทหารเรือ กรมเจ้าท่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง แล้วรายงานผลการดำเนินงานทุกระยะ พร้อมทั้งให้เร่งประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเลในพื้นที่ที่คาดว่า จะได้รับผลกระทบทั้งปัจจุบันและที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อกำจัดคราบน้ำมันเรียบร้อยแล้ว ตลอดจนเร่งหาสาเหตุที่แท้จริงของการรั่วไหลของน้ำมันในครั้งนี้ เพื่อถอดบทเรียนและหาแนวทางการป้องกันในอนาคต
นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกล่าวว่า เรือบรรทุกน้ำมันดีเซล “ป. อันดามัน 2” อับปางกลางอ่าวไทย ห่างจากปากน้ำชุมพรประมาณ 24 ไมล์ทะเล หรือ 45 กิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม โดยเรือบรรทุกราว 5 แสนลิตร หรือประมาณ 415 ตัน ซึ่งขณะนี้มีแผนทำงานร่วมกับกองทัพเรือซึ่งจัด “เรือหลวงบางระจัน” พร้อมยานสำรวจใต้น้ำติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้พลเรือโท ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือแจ้งถึงแนวทางการไขปัญหาเรือบรรทุกน้ำมันอับปางบริเวณกลางอ่าวไทย ซึ่งเบื้องต้นตรวจสอบพิกัดจุดเกิดเหตุ พบว่า มีแหล่งทรัพยากรทางทะเลที่สำคัญ 2 แหล่งในบริเวณใกล้เคียงได้แก่ แหล่งปะการังบริเวณเกาะง่ามใหญ่อยู่ทางทิศตะวันตกของจุดเกิดเหตุ ห่างประมาณ 25 กิโลเมตร เนื้อที่ 37 ไร่ รวมถึงบริเวณอำเภอปะทิว เกาะร้านเป็ด เกาะร้านไก่ จังหวัดชุมพร และแหล่งหญ้าทะเลบริเวณอ่าวบ่อเมา และอ่าวทุ่งมหา ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ 32 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 114 ไร่
นายโสภณกล่าวต่อว่า จากการสังเกตเบื้องต้นและจากการบินสำรวจของเจ้าหน้าที่พบคราบน้ำมันเป็นฟิล์มบางๆ ที่ผิวน้ำ บางจุดมีแผ่นน้ำมันลอยเห็นชัดและมีกลิ่นแรง แต่เป็นบริเวณไม่กว้างมาก พร้อมให้เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์พบว่า ทิศทางของกระแสน้ำและกระแสลมจะพัดขึ้นไปบริเวณทิศเหนือของจุดเกิดเหตุซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อแหล่งปะการังและหญ้าทะเล
อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจัดส่งเรือตรวจการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 2 ลำ พร้อมทีมนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ติดตามและเฝ้าระวังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนกรณีมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของคลื่นลมที่จะส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล พร้อมเก็บตัวอย่างน้ำบริเวณดังกล่าวเพื่อวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ อีกทั้ง หากพบสัตว์ทะเลที่ว่ายเข้าใกล้บริเวณเฝ้าระวัง จะสามารถช่วยเหลือและป้องกันได้อย่างทันท่วงที สำหรับแผนการเก็บกู้น้ำมันและแผนการกู้เรือได้ประสานงานกับกรมควบคุมมลพิษ กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า และหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแล้ว โดยคาดว่าจะเก็บกู้คราบน้ำมันได้ภายใน 7 วัน และจะกู้เรือภายใน 15 วัน
นอกจากนี้ทางกองทัพเรือจัดส่งเรือหลวงบางระจันพร้อมยาน Seafox-i เพื่อสำรวจสภาพเรือ “ป. อันดามัน 2” ที่อับปางซึ่งได้รับแจ้งจากลูกเรือว่า ปิดซีลวาล์วถังน้ำมันเรียบร้อย ซึ่งต้องเข้าตรวจสอบและจะควบคุมสถานการณ์ให้มีผลกระทบน้อยที่สุดโดยเร็ว.-สำนักข่าวไทย