กรุงเทพฯ 21 ม.ค. – กรุงศรี เผยกำไรสุทธิปี 64 ที่ 33,794 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 ถึง 46.7% ชูฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจและครัวเรือน มุ่งสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 คาดปี 65 เศรษฐกิจโต 3.7%
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เผยผลประกอบการของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 33,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 46.7% หรือจำนวน 10,754 ล้านบาท จากปี 2563 มีปัจจัยหลักคือกำไรพิเศษจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นใน บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) (เงินติดล้อ) ในไตรมาสที่ 2/2564 หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติในปี 2564 อยู่ที่จำนวน 25,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.1% หรือจำนวน 2,569 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า
เงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 3.1% หรือจำนวน 57,441 ล้านบาท จากเดือนธันวาคม 2563 สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ขยายตัว 6.6% และ 3.9% ตามลำดับ สอดคล้องกับการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจ ขณะที่ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนกลับมาเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการสนับสนุนสภาพคล่องให้กับลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เงินรับฝาก ลดลง 3.0% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2563 สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องเชิงรุก ในการลดสัดส่วนเงินรับฝากประจำ และชดเชยด้วยเงินรับฝากออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จากการออกมาตรการช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในปี 2564 อยู่ที่ 3.24% จาก 3.47% ในปี 2563 ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 12,243 ล้านบาท หรือ 37.5% จากปี 2563 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นเงินติดล้อ
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรุงศรียังคงบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินธุรกิจตามปกติอยู่ที่ 43.2% ในปี 2564 ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.20% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 เทียบกับ 2.00% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563
กรุงศรียังคงรักษาระดับการตั้งเงินสำรองอย่างรอบคอบและระมัดระวัง โดยมีสัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมที่ระดับ 167 เบสิสพอยท์ (Credit Cost) เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้น ด้านอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกที่ 184.2% จาก 175.1% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 18.53% เพิ่มขึ้นจาก 17.92% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าท่ามกลางสภาพแวดล้อมการดำเนินงานในสถานการณ์วิกฤต กรุงศรีในฐานะธนาคารพาณิชย์ยังมุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงิน โดยมีเป้าหมายสองประการในการเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบผ่านมาตรการ/โครงการช่วยเหลือลูกค้าในระยะสั้น พร้อมอำนวยสินเชื่อเพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายระลอกปีที่ผ่านมา และมาตรการควบคุมโรคที่เกี่ยวเนื่อง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจชะลอตัวลง กระทบเศรษฐกิจฟื้นตัวล่าช้า คาดปี 64 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1.2% และจะขยายตัว 3.7% ในปี 2565 ซึ่งกรุงศรี จะยังคงทำหน้าที่ตัวกลางทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือลูกค้าโดยเฉพาะด้านสภาพคล่องต่อภาคธุรกิจ SME และภาคครัวเรือน รวมถึง การอำนวยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน”
ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 กรุงศรี มีสินเชื่อรวม 1.89 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.78 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.5 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 291.79 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 18.53% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 13.56%.-สำนักข่าวไทย