นายกฯ ห่วงใยประชาชน กำชับควบคุมฝุ่น PM2.5

ทำเนียบ 25 ธ.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใยประชาชน กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคุมเข้มมาตรการควบคุมฝุ่นละออง PM2.5 โดยเฉพาะในส่วนของรถส่วนบุคคล และรถโดยสารสาธารณะ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินมาตรการควบคุมปริมาณของฝุ่นละออง PM2.5 สืบเนื่องจากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ที่อยู่ในระดับเกินค่ามาตรฐาน และเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองหลัก ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูหนาวไปเป็นฤดูร้อน(ตุลาคม – มีนาคม ของทุกปี) ทำให้มีสภาวะอากาศนิ่ง ส่งผลกระทบต่อการสะสมของฝุ่นละอองในอากาศ


โดยนายกฯ วางแนวนโยบายและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการดำเนินตามนโยบาย “ตรวจจับ ปรับจริง–ห้ามใช้รถควันดำ” ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งการเพิ่มจุดตรวจวัดควันดำขาเข้า-ขาออก ตามถนนสายหลักต่าง ๆ การขยายจุดตรวจให้ทั่วทุกจังหวัด เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ และระงับการใช้รถที่มีควันดำจนกว่าจะมีการนำรถไปปรับปรุงแก้ไข รวมถึง ในส่วนของรถโดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ขอให้มีการตรวจวัดค่าไอเสียของรถ ก่อนนำออกมาวิ่งให้บริการประชาชน ปรับปรุงเครื่องยนต์ของรถให้มีประสิทธิภาพ ให้มีค่าไอเสียที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ตลอดจน การเพิ่มมาตรการอื่น ๆ ให้เข้มข้นเป็นพิเศษในช่วงที่คาดการณ์ว่า ฝุ่นละออง PM2.5 จะสูงเกินมาตรฐาน อาทิ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง กรองน้ำมัน และกรองอากาศ ให้มีรอบที่น้อยลง เช่น จากปกติกำหนดที่ 12,000 กิโลเมตร เหลือ 6,000 กิโลเมตร และการกำหนดอัตราค่าไอเสียให้เข้มข้นกว่ามาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด เช่น จากปกติที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดอัตราค่าไอเสียอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 45 ให้กำหนดให้เข้มข้นเป็น ไม่เกินร้อยละ 30 ทุกคัน

นายธนกร กล่าวว่า มาตรการนี้เป็นมาตรการเบื้องต้นเพื่อลดการสะสมของค่าฝุ่นละออง PM2.5 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้วางนโยบายระยะยาวอย่างยั่งยืน เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ต่อไป นายกรัฐมนตรีห่วงใยสุขภาพของพี่น้องประชาชน เร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 พร้อมฝากถึงประชาชนในช่วงนี้ ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมในที่แจ้ง และใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง