นายกฯ พอใจตำรวจปราบแว้นจริงจัง

สตช. 29 พ.ย.- นายกรัฐมนตรี ประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 12 พอใจตำรวจปราบแว้นจริงจัง ยอดผู้กระทำผิดลดลง

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ครั้งที่ 12/2564 โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วมประชุม ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จึงเสร็จสิ้น


พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. กล่าวว่า ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรีได้รับทราบถึงความก้าวหน้าการดำเนินการของศูนย์ปฏิบัติการจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจที่ทำงานด้านการจราจร ให้มีการทำงานที่เป็นขั้นเป็นตอน เป็นมาตรฐานเดียวกันหมด รวมทั้งพัฒนาบุคคลากรด้านการสอบวัดความรู้ เพื่อให้คนทำงานด้านการจราจร รู้ลึก รู้จริง และสามารถบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนที่ทำผิดกฎจราจรได้อย่างถูกต้อง และเรื่องการนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาฐานข้อมูลเรื่องการจราจร ให้ฐานข้อมูลเชื่อมโยงกันว่าผู้กระทำผิดเคยทำผิดมาแล้วกี่ครั้ง และสามารถตรวจสอบได้จากผู้บังคับบัญชา และมีมาตรการร่วมกับกรมการขนส่งทางบก พัฒนาระบบตัดคะแนนความประพฤติ และดำเนินการกับผู้ที่ทำผิดกฎจราจรแล้วไม่ไปชำระค่าปรับ เช่น ไม่ออกหลักฐานการเสียภาษีให้หากไม่มาชำระค่าปรับ

สำหรับมาตรการป้องกันปราบปรามการแข่งรถในทาง นายกรัฐมนตรีพอใจผลการปฏิบัติของตำรวจสามารถลดปริมาณการแข่งรถในทางได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ก่อนหน้านี้ตำรวจเคยรับแจ้งผู้กระทำผิด 1 พันรายต่อเดือน แต่ตอนนี้ลดเหลือประมาณ 400 ราย ทั่วประเทศ พร้อมกำชับให้จริงจังบังคับใช้กฎหมายกวดขันวินัยการจราจรของกลุ่มจักรยานยนต์ทั้งบุคคลทั่วไป ไรเดอร์ จักรยานยนต์รับจ้าง มีการดำเนินการอย่างจริงจัง เนื่องจากที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมายค่อนข้างเบาไปบ้างช่วงโควิด-19


พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงเรื่องการฝ่าฝืนกฎหมายสถานบริการ หรือสถานประกอบการต่างๆ ที่ยังคงต้องปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ ได้กำชับว่า หากพื้นที่ใด ปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ มีการฝ่าฝืนอย่างโจ่งครึ่ม เสี่ยงเป็นแหล่งแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ผู้บังคับบัญชาโดยเฉพาะผู้บังคับการ(ผบก.) ที่ดูแลพื้นที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบ

พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าวอีกว่า คณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจด้านวินัย อุทธรณ์ ร้องทุกข์ และบริหารทรัพยากรบุคคล ได้รายงานข้อมูลการกระทำผิดวินัยร้ายแรง ของข้าราชการตำรวจ เดือน พฤศจิกายน 2564 มีข้าราชการตำรวจถูกลงโทษทั้งสิ้น 29 นาย เป็นการไล่อออกจากราชการ 21 นาย ปลดออกจากราชการ 6 นาย และให้ออกจากราชการ 2 นาย ทั้งนี้ตั้งแต่เดือน มกราคม ถึง พฤศจิกายน 2564 มีข้าราชการตำรวจถูกลงโทษทั้งสิ้น 222 นาย เป็นการไล่ออกจากราชการ 166 นาย ปลดออกจากราชการ 47 นาย และให้ออกจากราชการ 9 นาย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ใครที่กระทำความผิดต้องจริงจังในการดำเนินการทางวินัยให้ออกจากระบบ เพื่อไม่เป็นปัญหากับสังคม .-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง