กรุงเทพฯ 6 พ.ย.-นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย ยืนยันไม่ได้กดราคารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรทั่วประเทศ ย้ำปีนี้เจอปัญหาโควิด นักท่องเที่ยวหายไปนับสิบล้านคน ทำให้คนกินข้าวน้อย ส่งออกต่ำ ข้าวสารเหลือในประเทศเพียบ ชี้หากราคาข้าวสารขึ้น ดันราคาข้าวเปลือกขึ้นด้วย
นายรังสรรค์ สบายเมือง นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวถึงกระแสข่าวโจมตีสาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวเปลือกตกต่ำมาจากการกดราคารับซื้อข้าวเปลือกของโรงสีทั่วประเทศว่า ในฐานะที่ใกล้ชิดเกษตรกรชาวนามากสุด เมื่อมีข่าวราคาข้าวเปลือกตกต่ำจะถูกกล่าวหามาจากการกดราคารับซื้อข้าวเปลือกของโรงสี โดยข้อเท็จจริงปีนี้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ยังเจอปัญหาการระบาดโควิด-19 จนทำให้ไทยไม่สามารถส่งออกข้าวสารไปทำตลาดได้มากนัก ซึ่งปี 2564 ไทยมีผลผลิตข้าวเปลือกมากกว่า 30 ล้านตันข้าวเปลือก เมื่อแปรเป็นข้าวสารจะอยู่ที่กว่า 21 ล้านตัน โดยจำนวนนี้แบ่งเป็นบริโภคภายในประเทศ 6 ล้านตัน ใช้ในอุตสาหกรรม 4 ล้านตัน เหลือ 11 ล้านตัน แต่ปีนี้คาดการณ์จากสมาคมผู้ส่งออกข้าวฯ จะส่งออกได้เพียง 6 ล้านตัน เท่ากับข้าวสารจะเหลือสตอกในประเทศมากถึงกว่า 5 ล้านตัน ดังนั้น เมื่อปริมาณมากและราคาข้าวสารยังไม่ขยับขึ้น จะให้ทางโรงสีทั่วประเทศเข้าไปรับซื้อข้าวเปลือกในราคาสูงกว่าตลาดคงเป็นเรื่องลำบาก ถือเป็นระบบกลไกตลาดปกติ
อย่างไรก็ตาม โดยปกติหากไม่มีปัญหาโควิดระบาดทั่วโลก ข้าวสารของไทยจะส่งออกไปตลาดต่างประเทศได้มาก และยิ่งมีการเปิดประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวหายไปจากประเทศไทยหลายสิบล้านคน ซึ่งโดยทั่วไปนักท่องเที่ยวเหล่านี้จะกินข้าวไทย ดังนั้น ในฐานะนายกสมาคมโรงสีข้าวไทย ยืนยันเหตุผลที่ราคาข้าวไทยตกลงไม่ใช่เกิดจากการกดราคารับซื้อ เพราะปัจจุบันการซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร โดยข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% อยู่ที่ 7,780 บาท/ตัน แต่หากมีความชื้นสูง 25-30% ราคารับซื้อโดยเฉลี่ยที่เกษตรกรจะได้รับ คือ 6,000-6,500 บาท/ตัน และขณะนี้เท่าที่ได้รับรายงาน โรงสีต่างๆ ทั่วประเทศแย่งกันซื้อข้าวเปลือกด้วยราคาตลาดมากกว่ากดราคารับซื้อแต่อย่างใด โดยเชื่อว่าราคาข้าวเปลือกจะสูงขึ้นได้อยู่ที่ราคาข้าวสารในตลาดต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญ และสิ่งที่ผู้ส่งออกโรงสีกังวล คือ ในเร็วๆ นี้ข้าวเปลือกนาปีในฤดูกาลใหม่ที่คาดว่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้จะออกสู่ตลาดมากขึ้น คงจะต้องฝากรัฐบาลเดินหน้าบริหารจัดการทั้งสตอกเก่าและสตอกใหม่ให้มากขึ้นต่อไป
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมการค้าภายในได้มีการติดตามสถานการณ์ราคารับซื้อข้าวเปลือกทุกพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร โดยได้สั่งการให้ค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศออกติดตามสอดส่องการรับซื้อข้าวเปลือกทุกโรงสี อย่าให้มีการโกงตาชั่งและความชื้นข้าวเปลือกโดยเด็ดขาด ขณะเดียวกัน ให้พาณิชย์จังหวัดไปดูว่าพื้นที่ใดมีความพร้อมให้ดำเนินการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก เพื่อให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวได้ไปขายให้กับพ่อค้าคนกลางโดยตรง เพื่อจะได้ราคาข้าวเปลือกสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ในเร็วๆ นี้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวเปลือกไปแล้วจะได้รับเงินชดเชยส่วนต่างโครงการประกันรายได้ของรัฐบาล ซึ่งกรมการค้าภายในพร้อมที่จะดูแลให้เกิดความเป็นธรรม ไม่ให้เกิดการเอาเปรียบ
นอกจากนี้ ยังได้รับรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาผักสดส่วนใหญ่เริ่มกลับมาดีขึ้นแล้ว หลังจากปริมาณผักสดเข้าสู่ตลาดกลางค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดศรเมือง ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ทำให้ราคาผักสดส่วนใหญ่ปรับตัวลงมามาก เช่น ผักชี เคยมีราคากว่า 400 บาท/กิโลกรัม ตอนนี้เหลือ 280-300 บาท คาดว่าราคาจะเริ่มลดลงได้ต่อเนื่อง หลังจากผลผลิตที่หายไปจากพื้นที่จะกลับมาออกสู่ตลาดได้ในไม่ช้านี้ และกระทรวงพาณิชย์ได้จัดรถโมบายกว่า 50 คัน ออกไปจำหน่ายในเขตพื้นที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ไปจนถึงวันที่ 3 ธ.ค.นี้ โดยได้รับรายงานประชาชนส่วนใหญ่พอใจสามารถเลือกซื้อผักสดและสินค้าอื่นๆ ได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด แต่ประชาชนส่วนใหญ่จะซื้อผักหลัก ได้แก่ คะน้า ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ไข่ไก่ เนื้อหมู มากกว่า โดยสามารถตรวจสอบจุดจำหน่ายรถโมบายพาณิชย์ได้ที่ www.dit.go.th หรือสายด่วน 1569 และหากสถานการณ์ผักยังมีราคาแพง กรมการค้าภายในจะพิจารณาจัดทำโครงการรถโมบายสินค้าราคาถูกในจังหวัดต่างๆ อีกด้วย.-สำนักข่าวไทย