สำนักข่าวไทย 19 ก.ย.-แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เตือนนักเที่ยว อย่าการ์ดตก ทำให้ส่วนรวมเดือดร้อน ซ้ำรอยเหตุที่ “ผับทองหล่อ” ต้นตอโควิดระบาดใหญ่ พร้อมย้ำเหตุจำเป็นที่ต้องเร่งเปิดประเทศ
หลังเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ตำรวจ สน. ปทุมวัน เข้าตรวจสอบสถานบริการ ร้าน tapas music bar ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ถนนพระราม 1 แขวงและเขตปทุมวัน ที่ฝ่าฝืนลักลอบจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และปล่อยให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการถึง 93 คน โดยไม่มีการเว้นระยะห่าง ตามข้อกำหนดของสาธารณสุข จึงดำเนินคดีกับผู้จัดการร้านในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อ และฝ่าฝืนลักลอบจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนนักเที่ยวถูกดำเนินคดีข้อหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อ
นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า พฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวมีโอกาสให้ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 อย่างสูง เนื่องจากไม่มีการเว้นระยะห่าง อีกทั้งยังมีการทำกิจกรรมร่วมทั้งดื่มเหล้าสูบบุหรี่ และอยู่ในสถานที่ที่มีข้อจำกัดเรื่องระบบระบายอากาศจึงอันตรายและสุ่มเสี่ยงมากที่จะซ้ำรอยกับผับทองหล่อที่เป็นต้นตอของการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้
กิจกรรมกิจการผับบาร์และสถานการณ์บันเทิง เป็นกลุ่มที่ภาครัฐเป็นกังวลว่าจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อแต่ที่เตรียมจะผ่อนคลายให้ ก็เพื่อกิจการหาเลี้ยงชีพได้ เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ ฉะนั้นพฤติกรรมของกลุ่มคนที่การ์ดตก ไม่ช่วยป้องกัน ไม่รับผิดชอบต่อสังคม จะยิ่งสร้างความเสียหายทำให้ส่วนรวมเดือดร้อนกันไปด้วย และหากมีการระบาดเป็นคลัสเตอร์ หรือกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ขึ้นมา ก็อาจมีผลต่อการพิจารณาเปิดประเทศของรัฐบาล ซึ่งเตรียมจะเริ่มเปิดในวันที่ 1 พ.ย.นี้แล้ว ฉะนั้นทุกคนทุกกลุ่มควรช่วยกันป้องกัน ไม่ให้โควิดกลับมาระบาดหนักในไทยอีก
นพ.ทวี ย้ำอีกว่า เราจะต้องปรับตัวอยู่กับโควิดให้ได้ ถึงเวลาแล้วที่ไทยจำเป็นจะต้องกลับมาเปิดประเทศเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเดินต่อไปได้ เนื่องจากตอนนี้ประชาชนที่มีรายได้น้อยเดือดร้อนอย่างมาก อีกทั้งก่อนที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามายังไทยได้จะต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิดมาแล้ว1-2 ครั้งโอกาสที่เชื้อจะเล็ดลอดเข้ามาจึงมีอัตราน้อยมาก พิสูจน์ได้จากพื้นที่นำร่อง “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์”มีนักท่องเที่ยวต่างชาติติดเชื้อเพียง 0.2% หรือใน 1,000 คน จะเจอผู้ติดเชื้อเพียง 2 คนเท่านั้น และมีการตรวจสอบในพื้นที่แล้วด้วยว่ายังไม่มีกรณีที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินำเชื้อโควิดมาติดคนไทยหรือคนไทยแพร่เชื้อไปสู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่สามารถกลับเป็นศูนย์ได้อีกแล้วเรายังคงต้องมีตัวเลขผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตอยู่ แต่ขอให้อยู่ในระดับที่ระบบการแพทย์และสาธารสุขรับมือได้ก็พอ และตอนนี้อัตราการติดเชื้อ ป่วยหนัก และเสียชีวิต ก็ลดลงตามลำดับ เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆในโลก ที่ไม่มีที่ใดตั้งเป้าว่าจะกลับไปมีตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดเป็นศูนย์ได้แล้ว นอกจากจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีทรัพยากรพร้อม จึงยังเข้มงวดอยู่มาก ชาวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศ หากจะกลับเข้าประเทศได้ จะต้องกักตัวอย่างน้อย 21 วัน ฉะนั้นชาวจีนส่วนใหญ่ จึงยังไม่ค่อยเดินทางออกนอกประเทศ เพราะมีความยุ่งยาก และเมื่อไม่มีนักท่องเที่ยวจีนซึ่งถือว่าเป็นเค้กชิ้นใหญ่ ประเทศต่างๆ จึงพุ่งเป้าไปที่นักท่องเที่ยวจากยุโรป ญี่ปุ่นหรือเกาหลีเป็นหลัก ทำให้ส่วนแบ่งตลาดมีน้อย ต้องแย่งกัน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ไทยเราต้องเปิดประเทศ มิเช่นนั้นระบบเศรษฐกิจก็จะเดินต่อลำบาก .-สำนักข่าวไทย