กรุงเทพฯ 15 ก.พ. –พีทีทีจีซี ย้ำซื้อ 6 บริษัทปิโตรเคมีจาก ปตท.เป็นไปตามแผนปรับโครงสร้างของ กลุ่ม ปตท. วงเงิน 26,300 ล้านบาท จะเริ่มจ่ายเงิน ต.ค.นี้ ย้ำเดินหน้าลงทุนปีนี้
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) กล่าวว่า โครงการลงทุนของบริษัทปีนี้จะอยู่ภายใต้แผนลงทุนระยะเวลา 5 ปี ด้วยวงเงินลงทุนประมาณ 150,000 ล้านบาท โดยมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ยังมีอยู่อย่างเพียงพอ โครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการ PO/Polyol หรือโพลียูรีเทนครบวงจร , โครงการ Maptaput Retrofit-Olefins Reconfiguration (MTPR) ซึ่งเป็นโครงการเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นการใช้วัตถุดิบในการผลิตและเพิ่มกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ของกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ และโครงการ Asset Injection (โครงการรวมมิตร) ที่เข้าซื้อธุรกิจปิโตรเคมี สายโพรเพน และสายพลาสติกชีวภาพ จาก บมจ.ปตท. (PTT) รวม 6 โครงการ และรายงานผลการศึกษาของโครงการ PMMA มีมูลค่ารวม 26,300 ล้านบาท โดยเงินลงทุนดังกล่าวยังไม่รวมถึงโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐที่ชะลอการสรุปแผนลงทุนไปเป็นครึ่งหลังปีนี้จากเดิมที่คาดในไตรมาส 1/2560
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า การที่เข้าซื้อ 6 บริษัท จาก ปตท. เป็นไปตามนโยบาย ปตท.ที่ให้พีทีทีจีซีเป็นแกนนำธุรกิจปิโตรเคมีหรือ Flagship ของ ปตท. เพื่อให้สามารถต่อยอดธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ โดยวงเงินรวมซื้อหุ้นอยู่ที่ 26,300 ล้านบาทนั้น พีทีทีจีซีจะต้องนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อขออนุมัติเดือนเมษายน หลังจากนั้น 6 เดือน หรือภายในเดือนตุลาคมจะสามารถโอนกิจการและเริ่มจ่ายเงินให้แก่ ปตท. ซึ่งทั้ง 6 โครงการจะต้องโอนเสร็จภายในเดือนเมษายน 2561 โดยทั้ง 6 บริษัทมีกำไรเฉลี่ยประมาณ 2,400 ล้านบาทต่อปี
สำหรับ 6 บริษัทลูก ปตท.ได้แก่ 1. บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอร์ส จำกัด (HMC) 2. บริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC) 3.บริษัท พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม จำกัด (PTTMCC) 4. บริษัท พีทีที โพลีเมอร์ส มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (PTTPM) 5. บริษัท พีทีที โพลีเมอร์ โลจิสติกส์ จำกัด (PTTPL) และ 6. บริษัท พีทีที เมนเทนแนนซ์ แอนด์ เอนจิเนียริง จำกัด (PTTME)
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ผลดำเนินงานบริษัทปี 2559 มีกำไรสุทธิ 25,620 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปี 2558 ซึ่งนอกจากมาจากปัจจัยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้บริษัทรับรู้กำไรสตอกน้ำมันสูงขึ้นแล้วยังมาจากการดำเนินโครงการ MAX ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการทั่วทั้งองค์กรส่งผลทำให้มีผลประกอบการดีขึ้น ปี 2559 มีอีบิทบ้า 48,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากปี 2558 โดยไตรมาส 4/2559 กำไรสุทธิ 9,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 108 จากไตรมาส 4/2558 ที่มีกำไรสุทธิ 4,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 จากไตรมาส 3/2559 ที่มีกำไรรวมสุทธิ 6,226 ล้านบาท สำหรับคาดการณ์ปี 2560 บริษัทคาดว่าราค้ำมันดิบจะอยู่ในเกณฑ์ 52-55 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และจะเดินเครื่องโรงกลั่นเต็มที่ที่อัตราร้อยละ 100 เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีการหยุดผลิตตามแผนและประเมินว่าผลประกอบการกลุ่มปิโตรเลียมจะดีขึ้น ส่วนอะโรเมติกคาดจะปรับตัวดีขึ้น จากความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายทางส่งผลให้ส่วนต่างของเบนซีนและพาราไซลีนปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับคอนเดนเสทจะทรงตัว 413 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่วนแนวโน้มสถานการณ์ธุรกิจโอเลฟินและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องปี 2560 คาดว่าราคาเม็ดพลาสติกปี 2560 จะอยู่ในกรอบเดียวกับปี 2559 ประมาณ 1,153 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC กล่าวว่า สิ้นปีที่แล้วบริษัทมีเงินสดประมาณ 50,000 ล้านบาท และมีอีบิทด้าเข้ามาประมาณปีละ 50,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้มีเงินสดประมาณ 100,000 ล้านบาท เมื่อหักเงินลงทุนปีนี้รวมกับเม็ดเงินที่พีทีทีจีซีจะลงทุนนำไปซื้อกิจการจาก ปตท.รวม 50,000 ล้านบาท และวงเงินที่จะใช้คืนเงินกู้ในปีนี้ 10,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของหุ้นกู้ ก็จะทำให้มีเงินสดคงเหลือประมาณ 40,000 ล้านบาท เมื่อหักการจ่ายปันผลส่วนหนึ่ง ก็คาดว่าจะมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นปี 2560 ประมาณ 25,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมด้วย โดยอาจจะออกหุ้นกู้ประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังปีนี้. -สำนักข่าวไทย