รัฐสภา 25 ส.ค.-เพื่อไทยผุดแคมเปญ “ลงมติประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์” ชวนคนไทยลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล โวพร้อมลุยศึกซักฟอกแล้ว เชื่อสังคมตัดสินว่าแล้วรัฐบาลหมดความชอบธรรม
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยส.ส.และสมาชิกพรรค ร่วมกันแถลงข่าวเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาล ผ่าน https://www.change.org/prayutgetout ในหัวข้อ “ลงมติประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์” เพื่อร่วมแสดงพลังและเจตจำนงไม่ยอมรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อีกต่อไป เพราะเป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถ บริหารประเทศล้มเหลวซ้ำซาก ปล่อยปละละเลย ทำให้พี่น้องประชาชนประสบกับภาวะทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ซึ่งการเข้าร่วมลงชื่อในครั้งนี้จะเป็นการแสดงพลังของพี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่งตามวิถีประชาธิปไตย ควบคู่ไปกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านในสภาที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 31 ส.ค. ถึง 2 ก.ย.นี้
“การลงมติไม่ไว้วางใจของประชาชนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลจะได้ตระหนักว่าเสียงข้างมากของส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น ไม่อาจค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาลและการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีได้ ในทางตรงข้ามหากพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ขาดความเชื่อมั่น ขาดความไว้วางใจ ขาดศรัทธาที่จะให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศต่อไป ปัญหาวิกฤตของประเทศที่เผชิญอยู่จะไม่อาจแก้ไขได้ และประเทศจะจมดิ่งลึกลงจนกอบกู้แก้ไขลำบากขึ้นทุกที” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจึงขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมแสดงออกด้วยการร่วมลงชื่อลงมติในครั้งนี้ จำนวนผู้ร่วมมากเท่าใดยิ่งสื่อถึงความปรารถนาของประชาชนได้มากเท่านั้น พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะเดินหน้าทำหน้าที่เปิดโปงความล้มเหลวทุกด้านที่พล.อ.ประยุทธ์และพวกได้ทำไว้กับประชาชนอย่างเต็มความสามารถ
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่าหากดูปัญหาของประเทศในขณะนี้ มีความจำเป็นต้องทำงานขับเคลื่อนร่วมกัน รวมถึงการอภิปรายนอกสถา เชื่อว่าการอภิปรายนอกสภาอาจมีความเข้มข้นมากกว่าในสภาเสียด้วยซ้ำ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อแสดงพลังที่แท้จริงของประเทศ เพื่อการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
เมื่อถามถึงในส่วนของการเตรียมความพร้อมสู้ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสุทิน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีความพร้อม ขณะนี้เหลือเพียงการปรับเนื้อหาให้มีความกระชับตรงประเด็นมากขึ้น หลัก ๆ เน้นไปที่เรื่องการบริหารงานที่ผิดพลาดในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 รวมถึงเรื่องของการทุจริตที่มีข้อมูลชี้ถึงความผิดได้ เชื่อว่าหากประชาชนได้ฟังแล้ว จะได้รับความกระจ่างมากขึ้น เชื่อว่า จากสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน สังคมได้ตัดสินไปแล้วว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรมหลงเหลืออยู่ ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่จิตสำนึกของรัฐบาลเอง.-สำนักข่าวไทย