กรุงเทพฯ 27 ก.พ. – นายชนินทร์ เชาวน์นิรัติศัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า หรือเอ็กโก กรุ๊ป กล่าวว่า ปีนี้เตรียมงบลงทุนไว้กว่า 30,000 ล้านบาท สำหรับ 7 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการทั้งในและต่างประเทศ แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 6 โครงการ ได้แก่ โครงการ SPP ในประเทศ 3 โครงการ โรงไฟฟ้า พลังน้ำ“ไซยะบุรี” ใน สปป.ลาว โรงไฟฟ้า “ซานบัวนาเวนทูรา” และโรงไฟฟ้า “มาซินลอคหน่วยที่ 3” ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะก่อสร้างเสร็จและทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ 869 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ปี 2560-2562 รวมทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างการโอนหุ้น 1 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “ซาลัก” และ “ดาราจัท” ในประเทศอินโดนีเซีย 128 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จไตรมาส 1 ปี 2560
“โครงการไซยะบุรีกำลังผลิตขายไทย 1,220 เมกะวัตต์ ขาย สปป.ลาว 60 เมกะวัตต์ มี 8 เครื่องกำลังผลิตไฟฟ้า ขณะนี้ความคืบหน้าเกือบร้อยละ 80 แล้ว ดังนั้น จะมีบางเครื่องเริ่มผลิตไฟฟ้าสร้างรายได้ตั้งแต่ปลายปี 2561 จากเป้าหมายเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.2562” นายชนินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ งบลงทุนดังกล่าวยังไม่นับรวมโครงการใหม่ที่เตรียมเข้าไปลงทุน ทั้งการซื้อโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว เพื่อรับรู้รายได้ทันทีและโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในต่างประเทศอีก 4 โครงการ ได้แก่ สปป.ลาว มี 2 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ “ปากแบง” กำลังผลิต 920 เมกะวัตต์ บริษัทถือหุ้นร้อยละ 30 ซึ่งอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) และโรงไฟฟ้า พลังน้ำ “น้ำเทิน 1” กำลังผลิต 650 เมกะวัตต์ ซึ่งอัยการสูงสุดอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) หลังจากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว บริษัทถือหุ้นร้อยละ 30 จะขายไฟฟ้าเข้าระบบแก่ไทย 520 เมกะวัตต์ ขายให้ สปป.ลาว 130 เมกะวัตต์ ส่วนที่อินโดนีเซียมี 1 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “สตาร์ เอนเนอร์ยี่ ส่วนขยาย (หน่วยที่ 3 และ 4)” ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาค่าไฟฟ้ากับการไฟฟ้าอินโดนีเซีย และเวียดนาม มี 1 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าถ่านหิน “กวางจิ” ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเสนอขายไฟฟ้ากับทางรัฐบาลเวียดนาม
ทั้งนี้ ปัจจุบันเอ็กโกผลิตไฟฟ้าใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวม 24 โรงไฟฟ้า กำลังผลิต 4,122 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันผลิตพลังงานทดแทนร้อยละ 18 และตั้งเป้าหมายจะเพิ่มเป็นการผลิตพลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 30 ในปี 2569 โดยไม่ได้กำหนดว่าจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าโดยรวมเป็นเท่าไร เป้าหมายหลัก คือ รักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างน้อยร้อยละ 10 ด้วยกลยุทธ์ การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนดและภายใต้งบประมาณที่วางไว้ และการแสวงหาโอกาสในการลงทุนใหม่
ในสิ้นปี 2559 ทางเอ็กโก กรุ๊ป มีสินทรัพย์รวม 197,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 17,443 ล้านบาท และมีกำไรก่อนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี การรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่าและสัญญาสัมปทาน และการด้อยค่า 9,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,237 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ขณะที่มีกำไรสุทธิ 8,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 93 โดยคณะกรรมการ บริษัทฯ มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2559 อัตราหุ้นละ 3.25 บาท ซึ่งหากได้รับการอนุมัติเท่ากับบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลตลอดปี 2559 อัตราหุ้นละ 6.50 บาท
โดยใน 2559 มีโครงการเข้าระบบตามแผน ได้แก่ โรงไฟฟ้าขนอม หน่วยที่ 4 จังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 930 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม จังหวัดชัยภูมิ กำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 80 เมกะวัตต์ และการขยายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า 3 โครงการ ได้แก่ การซื้อหุ้นเพิ่มร้อยละ 8.05 ในบริษัท มาซินลอค พาวเวอร์ พาร์ทเนอร์ จำกัด ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นผลให้เอ็กโก กรุ๊ป มีสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าถ่านหิน “มาซินลอค” ร้อยละ 49 ขณะที่บริษัทฯ รับรู้รายได้เพิ่มจากการปรับอัตราค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “สตาร์ เอนเนอร์ยี่” ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งสูงขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 40 และการซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “ซาลัก” และ “ดาราจัท” ประเทศอินโดนีเซีย โดยการถือหุ้นโดยทางอ้อมร้อยละ 20.07. – สำนักข่าวไทย