กรุงเทพฯ 27 พ.ค. – ปตท.รุกอีวีเต็มสูบ ไตรมาส 3 /64 แผนพัฒนารถยนต์ชัดเจน ย้ำเดินหน้าลงทุนทั้งกลุ่ม 8.5 แสนล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. เปิดเผยว่า ไตรมาส 3 /64 จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นสำหรับการลงทุน ในธุรกิจการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (อีวี ) ครบวงจร โดยให้ บริษัทออน-ไอออน โซลูชั่นส์ จำกัด (“On-I on Solutions”) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ Alpha Com ถือหุ้นทั้งหมด จัดตั้งด้วยทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท (Alpha Com เป็นบริษัทย่อยที่ปตท. ถือหุ้นทางอ้อมร้อยละ 100)เป็นผู้ดำเนินการ ทั้งการร่วมทุน เพื่อผลิตยานยนต์อีวี และส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานีเครื่องอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้ า (EV Charging Station) นอกสถานีบริการน้ำมัน เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน เป็นต้น รวมถึงจำหน่ายสินค้าและให้บริการที่เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า เช่น จัดจำหน่ายและติดตั้ง EV Charger ในที่พักอาศัย เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ New S-Curve ของ ปตท.
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลงทุนด้านแบตเตอรี่ และส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ บริษัทในเครือ ก็จะสามารถดำเนินการได้ แล้วแต่ความเหมาะสมในแต่ละเรื่อง เช่น การพัฒนา แบตเตอรี่ของ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) เป็นต้น
“การพัฒนาอีวีทั้ง value chain จะมีเรื่องแพล็ตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้น ก็เป็นเป้าหมายของกลุ่ม ปตท.ที่จะรุกในธุรกิจ New S-Curve และตอบสนองนโยบายอีวีของรัฐบาล ซึ่งการร่วมทุนพัฒนารถยนต์อีวี ก็ตั้งเป้าหมายจะมีทั้งรถ 2 ล้อ 4 ล้อ รถยนต์นั่ง รถบรรทุก ซึ่งกำลังหารือกับพาร์ทเนอร์ คงจะยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งความคืบหน้าอีวีโดยรวมจะมีความชัดเจนในไตรมาส 3 ปีนี้” นายอรรถพล กล่าว
นายอรรถพล กล่าวว่า กลยุทธ์ในธุรกิจใหม่( New Business ) และ New Energy ได้กำหนดไว้ในแผนงานว่าในปี ค.ศ.2030 หรือ 2573 จะมีสัดส่วนสร้างรายได้ในพอร์ตร้อยละ 20 ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านพลังงานทดแทน ธุรกิจด้านยา อาหารเสริม สุขอนามัย โดยในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและพลังงานฟอสซิลจะมีกำลังผลิตในส่วนประเภทละ 8 พันเมกะวัตต์
นายอรรถพลกล่าวว่า แผนลงทุนของ ปตท.ยังเป็นไปตามแผนแม้จะเกิดการระบาดโควิด-19 ระลอกที่ 3 โดย ในปี 2564-2568 เตรียมเงินลงทุนไว้ที่กว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ โรงแยกก๊าซหน่วยที่ 7 ,ท่อขนส่งก๊าซฯ ,คลังก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) หนองแฟบ ที่จะแล้วเสร็จปี 2565 ,การพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 และเทคโนโลยีวิศวกรรมต่างๆ ซึ่งยังไม่รวมวงเงินที่เตรียมไว้อีกกว่า 3 แสนล้านบาท เพื่อใช้สำหรับลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษา ขณะที่วงเงินลงทุนทั้งกลุ่ม ปตท. ปี 2564-2568 รวมอยู่ที่กว่า 8.5 แสนล้านบาท
“แนวโน้มผลประกอบการปีนี้จะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เพียงไตรมาส 1/64 มีกำไร 3.2 หมื่นล้านบาท ก็ใกล้เคียงกับทั้งปี 63 ซึ่งมีกำไร 3.7 หมื่นล้านบาท คาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้ไว้ที่ 60-65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และค่าการกลั่น(GRM) ปีนี้ไว้ที่ 2-2.5 เหรียญต่อบาร์เรล เทียบกับปีก่อนไม่ถึง 1 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งมาจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันและปโตรเคมีเพิ่มขึ้น และปีนี้กลุ่ม ปตท. ตั้งเป้ากลับมาเดินเครื่องโรงงานในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่งผลให้ปีนี้จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น” นายอรรถพล -lสำนักข่าวไทย