บึงกาฬ 29 เม.ย. – โรงพยาบาลบึงกาฬวุ่น หลังพบผู้ป่วยผ่าตัดรักษาต้อกระจกติดเชื้อโควิด-19 ทำให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ประจำวอร์ดจักษุ จำนวน 13 คน ต้องกักตัวทันที
ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายที่ 14 เป็นหญิงไทย อายุ 65 ปี ภูมิลำเนา ต.โป่งเปือย อ.เมืองบึงกาฬ ตรวจพบเชื้อหลังจากทำการผ่าตัด ผลตรวจจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุดรธานี ยืนยันผลเป็นบวก ทีมเจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบสวนโรคแล้ว มีผู้สัมผัสร่วมบ้านต้องกักตัว 6 ราย และบุคลากรทางการแพทย์กักตัว 13 ราย
นายแพทย์กมล แซ่ปึง ผอ.โรงพยาบาลบึงกาฬ เปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อรายที่ 14 ของจังหวัด เป็นหญิงพิการตาบอดสนิทข้างหนึ่ง อายุ 65 ปี เข้ามารักษาโรคต้อกระจก ที่โรงพยาบาลบึงกาฬ ก่อนการผ่าตัดทางโรงพยาบาลได้ส่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนทุกราย ยกเว้นเหตุด่วนฉุกเฉินจะตรวจแค่ Rapid antigen test (แบบเร่งด่วน) วันที่ผ่าตัด ผลตรวจแบบ PCR (แบบละเอียด) ของผู้ป่วยรายนี้มีปัญหา ออกไม่ทันก่อนการผ่าตัด เฉพาะหน้าจำเป็นต้องตรวจแบบ Rapid antigen test ปรากฏผลออกมาเป็นลบ จึงนำตัวเข้าผ่าตัดตามคิว ซึ่งระหว่างการผ่าตัด ผลตรวจ PCR (แบบละเอียด) ออกมาเป็นบวก แต่หมอต้องผ่าตัดให้เสร็จ หลังผ่าตัดเสร็จได้แยกผู้ป่วยเข้าไปรักษาโรคโควิด-19 ส่วนเจ้าหน้าที่ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายนี้มีทั้งแพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยผ่าตัด รวมทั้งเจ้าหน้าที่อยู่ประจำวอร์ดจักษุ จำนวน 13 ราย ทางโรงพยาบาลต้องนำเข้ากักตัวทันที
ผู้ป่วยรายนี้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้กับประชาชนทุกคนได้ เนื่องจากผู้ป่วยพิการสายตาไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน แต่แม้จะไม่ได้อกไปไหนมาไหน แต่ก็มีคนมาเยี่ยมเยือนเอาเชื้อโรคมาให้ถึงที่บ้านได้
คุณหมอแนะนำทุกคนว่าด้วยความเป็นห่วง ถ้ามีแขกมาเยี่ยม โดยเฉพาะจากจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อ ให้คิดเสมอว่าทุกคนที่มาเยี่ยมที่บ้านอาจมีเชื้อโควิด-19 ก็ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมีมาตรการป้องกันตัวเอง คือสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงไม่ทานอาหารร่วมกัน โดยเฉพาะการใช้แก้วน้ำร่วมกัน ขอให้ตระหนักว่าทุกคนมีโอกาสติดโควิด-19 ได้เสมอ
ทั้งนี้ จังหวัดบึงกาฬ มีผู้ติดเชื้อสะสม 14 ราย รักษาหาย 3 ราย อยู่ระหว่างรักษา 11 ราย และจังหวัดบึงกาฬ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้ทุกคนในพื้นที่ต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย เมื่อออกนอกเคหสถานหรือที่พัก เพื่อลดการแพร่ระบาด รวมทั้งเมื่อเข้าไปในสถานที่แออัด หรือไปยังสถานที่ที่มีผู้คนและต้องพบปะผู้อื่น ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน-10 พฤษภาคม 2564.-สำนักข่าวไทย