กรุงเทพฯ 4 มี.ค.- EGCO ตั้งงบ 5 ปี 1.5 แสนล้านบาทลุยธุรกิจไฟฟ้า-โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในและต่างประเทศ ขยายพอร์ตพลังงานทดแทนตามเทรนด์โลก มั่นใจผลประกอบการปีนี้ดีขึ้นหลังโควิด-19 คลี่คลาย และจะมีกำลังผลิตเข้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 พันเมกะวัตต์
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group เปิดเผยว่า บริษัทได้ ปรับแผนธุรกิจใน 5 ปี (64-68 ) จะใช้เงินลงทุนกว่า 1.5 แสนแสนล้านบาท ขับเคลื่อนทุกธุรกิจ โดยพอร์ตส่วนใหญ่ยังเป็นธุรกิจไฟฟ้า และจะขยายไปยัง พลังงานทดแทน ขยายมากกว่าแผนงานที่เดิมที่ตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนพลังงานทดแทนร้อยละ 25 (ปัจจุบบันมีประมาณร้อยละ 23 ) ขยายงาน Smart Energy Solution รับเทรนด์พลังงานโลก รวมทั้งขยายงานด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ และในปีนี้เชื่อมั่นจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 1 พันเมกะวัตต์ จากโครงการที่อยู่ระว่างการเจรจา 3-4 โครงการ ในส่วนนี้เป็น ส่วนที่รวมถึง โครงการในสหรัฐ “ลินเดน โคเจน ” โรงไฟฟ้าก๊าซฯ 271 เมกะวัตต์ ซึ่งพื้นที่เป้าหมายในการลงทุนอยู่ใน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา
ส่วนการยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Shipper) ปริมาณ 200,000 ตันต่อปี เพื่อนำมาใช้ในโรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัท ในขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในขณะที่โครงการ Solar Solution Provider เพื่อให้บริการด้านผลิตภัณฑ์และระบบโซลาร์เซลล์ระดับพรีเมี่ยมอย่างครบวงจร โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ และโครงการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่ม กฟผ. ผ่านบริษัท EGAT Innovation Holding เพื่อทำธุรกิจที่เกี่ยวกับนวัตกรรมไฟฟ้าและธุรกิจ New S Curve และพร้อมรุกธุรกิจติดตั้งให้บริการโซลาร์รูฟท็อป ขณะนี้มีลูกค้าตอบรับ แล้ว 40 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายจะขยายเพิ่มไม่ต่ำกว่า 200 เมกะวัตต์
ส่วนการยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Shipper) ปริมาณ 200,000 ตันต่อปี เพื่อนำมาใช้ในโรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัท ในขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในขณะที่โครงการ Solar Solution Provider เพื่อให้บริการด้านผลิตภัณฑ์และระบบโซลาร์เซลล์ระดับพรีเมี่ยมอย่างครบวงจร โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ และโครงการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่ม กฟผ. ผ่านบริษัท EGAT Innovation Holding เพื่อทำธุรกิจที่เกี่ยวกับนวัตกรรมไฟฟ้าและธุรกิจ New S Curve และพร้อมรุกธุรกิจติดตั้งให้บริการโซลาร์รูฟท็อป ขณะนี้มีลูกค้าตอบรับ แล้ว 40 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายจะขยายเพิ่มไม่ต่ำกว่า 200 เมกะวัตต์
ปัจจุบัน EGCO มีกำลังผลิต 6,016 เมกะวัตต์ ในขณะที่ผลประกอบการในปี 2563 เอ็กโก กรุ๊ป มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี การด้อยค่าของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่า) จำนวน 8,738 ล้านบาท ลดลง 1,630 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16% เมื่อเทียบกับ ปี 2562 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการที่ลดลงของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพาจู โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี โรงไฟฟ้าเคซอน โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 และโรงไฟฟ้าชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม และจะจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2563 จำนวนหุ้นละ 3.50 บาท จากที่จ่ายงวดแรกระหว่างกาลปี 63 ไปแล้ว หุ้นละ 3 บาท รวมจ่ายปี 63 หุ้นละ 6.50 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2564
“สำหรับปี 2564 คาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า “ลินเดน โคเจน” สหรัฐอเมริกา โครงการโรงไฟฟ้า “หยุนหลิน” ไต้หวัน ซึ่งจะเริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 และโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 4 ปี 2564” นายเทพรัตน์ กล่าว-สำนักข่าวไทย