ปี 63 บางจากฯ ขาดทุน 6,967 ล้านบาท จากวิกฤติโควิด-19

กรุงเทพฯ​ 19 ก.พ. – บางจากฯ ขาดทุนสุทธิ 6,967 ล้านบาท จากวิกฤติโควิด-19 ที่กระทบเศรษฐกิจและธุรกิจการกลั่นและการตลาด เน้นการนำนวัตกรรมมาสร้างจุดเด่นและเสริมรายได้


นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2563 ว่า บริษัท บางจากฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 136,450 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับปีก่อน มี EBITDA 4,104 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 53 มี Operating EBITDA 8,874 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10​ ผลขาดทุนสุทธิ 6,967 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 5.50 บาท อย่างไรก็ดี จากการปรับโครงสร้างการลงทุน ใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมในการบริหารจัดการเพื่อประโยชน์สูงสุด พร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 ทำให้มีกระแสเงินสด ณ สิ้นปี 2563 ที่ 21,651 ล้านบาท

ผลประกอบการดังกล่าว เนื่องจากการที่กลุ่มบริษัทฯ เผชิญกับความท้าทาย ทั้งจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงมากจนถึงระดับที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งปัจจัยกดดันในเรื่องสงครามราคาน้ำมันของผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย ทำให้ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปปรับลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า และธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้น จึงช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของผลการดำเนินงานในภาพรวม


ความผันผวนของราคาน้ำมันและการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งผลกระทบหนักสุดต่อธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจเริ่มมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศฟื้นตัวต่อเนื่องจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี จากการที่กลุ่มบริษัทฯ ได้พยายามลดผลกระทบจากโควิด-19 โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงานที่กระชับ คล่องตัว ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ มีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจและปรับองค์กร เพื่อสร้างช่องทางในการเข้าถึงตลาดและลูกค้า ตลอดจนดำเนินมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและหารายได้เพิ่ม รวมทั้งให้ความสำคัญในการควบคุมค่าใช้จ่าย สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 900 ล้านบาท จากงบประมาณที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2563 ที่ต่ำกว่าปี 2562 กว่าร้อยละ 30 ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มี Inventory Loss ขาดทุนสตอก 4,743 ล้านบาท อีกทั้งมีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าทรัพย์สิน 2,375 ล้านบาท และการด้อยค่าตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS 9) 891 ล้านบาท


สำหรับผลการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มธุรกิจ มีดังนี้ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มีค่าการกลั่นพื้นฐาน 3.20 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 2.21 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จากปีก่อน ทำให้โรงกลั่นต้องปรับลดกำลังการผลิตมาอยู่ในระดับ 97,200 บาร์เรล/วัน หรือคิดเป็นร้อยละ 81 ของกำลังการผลิตรวม บริษัท BCP Trading ยังคงเติบโต มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มธุรกิจการตลาด ปริมาณการจำหน่ายรวมลดลงร้อยละ 17 แต่ยังคงขยายจำนวนสถานีบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีจำนวนสถานีบริการน้ำมัน ณ สิ้นปี 2563 ทั้งสิ้น 1,233 สาขา มีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการปี 2563 อยู่ที่ร้อยละ 15.6 (ตามข้อมูลกรมธุรกิจพลังงาน) และครองความนิยมเป็นลำดับที่ 1 ในใจของผู้ใช้บริการ 2 ปีซ้อน จากดัชนีวัดความพึงพอใจของลูกค้าตามผลประเมิน Net Promoter Score (NPS) ส่วนร้านกาแฟอินทนิล ณ สิ้นปี 2563 มีทั้งสิ้น 673 สาขา

ด้านกลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเติบโตเพิ่มขึ้นจากการขยายการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ Nam San 3A และ Nam San 3B กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวมทั้ง 2 โครงการ 114 เมกะวัตต์ ใน สปป ลาว และการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย “RPV” จำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 20 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาทั้งหมด จำนวน 473.7 เมกะวัตต์ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม 270 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในประเทศอินโดนีเซีย มีการบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการ Refinance เงินกู้เดิม 172 ล้านบาท จากการ Refinance เงินกู้ดังกล่าว ทำให้บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (“BCPG”) ได้รับชำระคืนค่าหุ้นจากการลดทุนของบริษัทร่วม Star Energy Group Holding Pte. Ltd., จำนวนประมาณ 842 ล้านบาท (ตามสัดส่วนที่เป็นของ BCPG ร้อยละ 33.33)

ส่วนกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องและสูงสุดตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการมา โดยธุรกิจไบโอดีเซล กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 177 และบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ได้ขยายสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง ผ่านการลงทุนในบริษัท Manus Bio Inc. ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงมีแผนตั้งโรงงาน Synthetic Biology เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์แบบ Multi-Products แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กลุ่มธุรกิจผลิตทรัพยากรธรรมชาติ ผลการดำเนินงานลดลงอย่างมาก เนื่องจากรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม OKEA ขณะที่ปีก่อนรับรู้ส่วนแบ่งกำไร และช่วงปลายปี บริษัท BCP Innovation Pte. Ltd ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Lithium Americas Corp. (LAC) ซึ่งมูลค่าที่ได้รับจากการลดสัดส่วนการลงทุนในครั้งนี้ประมาณ 136 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำรองไว้สำหรับหาโอกาสขยายธุรกิจในอนาคต

ในส่วนของโครงการด้านนวัตกรรม บางจากฯ เป็นรายแรกในประเทศไทย ที่นำร่องเปิดตัวสตาร์ทอัพ “Winnonie” (วิน No หนี้) เพื่อช่วยลดภาระหนี้สินของวินมอเตอร์ไซค์ ด้วยการนำนวัตกรรมพลังงานสีเขียวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามาทดลองให้วินมอเตอร์ไซค์ในพื้นที่รอบสำนักงานใหญ่และโรงกลั่นน้ำมันบางจากฯ เช่า ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย พร้อมการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ swapping ที่ตู้สำหรับแลกเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก

สำหรับปี 2564 คาดการณ์ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ประเทศไทยกำลังจะได้รับวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินธุรกิจของบางจากฯ หลังจากปรับโครงสร้าง เสริมสภาพคล่องให้แข็งแรง มีความพร้อมในการปรับตัว ขยายศักยภาพในการบริหารงาน และการลงทุนต่อยอดธุรกิจใหม่ พร้อมรุกไปข้างหน้าเต็มที่ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มในทุกธุรกิจ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังไม่หยุดยั้งที่จะแสวงหาโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ในขณะที่ยังให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้บทบาทผู้นำนวัตกรรมสีเขียวเพื่อความยั่งยืน มุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มรายได้จากธุรกิจสีเขียวเป็น 40-50% ในปี 2567.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง