กรุงเทพฯ 21 ส.ค. – บอร์ด ปตท.เห็นชอบให้ ปตท.เพิ่มสัดส่วนถือหุ้น GPSC ตามแผนรุกธุรกิจไฟฟ้า โดยซื้อหุ้นจาก TOP และโอนกิจการ TP ให้ TOP สุดท้าย GPSC มี ปตท.ถือหุ้นร้อย 31.72 TOP ถือหุ้นร้อยละ20.78 ด้าน TOP คาดได้เงินเพิ่ม 5,900 ล้านบาท
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ปตท. วันที่ 20 สิงหาคม 2563 อนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจไฟฟ้าของ ปตท. โดย ปตท.ซื้อหุ้นสามัญบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP ถืออยู่ทั้งหมดร้อยละ 8.91 วงเงินประมาณ 16,882 ล้านบาท โดย ปตท.คาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาดังกล่าวได้ภายในปี 2563
นอกจากนี้ ปตท.จะโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท ไทยออยล์เพาเวอร์ จำกัด หรือ TP ให้แก่ TOP ซึ่ง TP เป็นบริษัทย่อยของ ปตท.และ TOP โดยปัจจุบัน ปตท.ถือหุ้น TP ในสัดส่วนร้อยละ 26.00 และ TOP ถือหุ้น TP ในสัดส่วนร้อยละ 74.00 โดยมูลค่ากิจการทั้งหมดของ TP อยู่ที่ประมาณ 26,773 ล้านบาท ภายหลังการโอนกิจการแก่ TOP ทาง TP จะยุติการประกอบธุรกิจและจะดำนินการเลิกบริษัท คาดจะดำเนินการรับโอนกิจการทั้งหมดจาก TP เสร็จภายในไตรมาส 1/2564
ทั้งนี้ เมื่อปรับโครงสร้างเสร็จสิ้น ปตท.จะถือหุ้นใน GPSC เพิ่มจากร้อยละ 22.81เป็นร้อยละ 31.72 ส่วนไทยออยล์จะมีสัดส่วนถือหุ้นใน GPSC ทดแทน TP ที่ถือหุ้นใน GPSC ร้อยละ 20.78
“การปรับโครงสร้างจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ GPSC และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท.ใน GPSC เพื่อให้สอดคล้องกับการถือหุ้นของ ปตท.ในบริษัท Flagship” นายอรรถพล ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามแผนความยั่งยืนของ ปตท.ที่เตรียมรุกธุรกิจไฟฟ้า และ new energy ทั้งพลังงานทดแทน-แบตเตอรี่ และอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น
ด้าน บมจ.ไทยออยล์ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าบริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น GPSC ไปชำระค่าตอบแทน ภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมด เพิ่มเงินสด เงินทุนหมุนเวียน และสภาพคล่อง ทำให้บริษัทมีฐานะการเงินที่แข่งแกร่งขึ้น และใช้เป็นเงินทุนสำหรับรองรับโครงการลงทุนอื่นในอนาคตของบริษัท ธุรกรรมการขายหุ้น GPSC จะทำให้บริษัทได้รับกระแสเงินสดภายหลังจากการเข้าทำธุรกรรมการขายหุ้นและธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมดเป็นจำนวนประมาณ 5,900 ล้านบาท (ไม่รวมค่าใช้จ่ายและภาระภาษีเงินได้ที่เกิดจากการเข้าทำรายการ) จึงเป็นการส่งเสริมให้สภาพคล่องและฐานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น รวมถึงเพิ่มเงินทุนเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคตของบริษัท.-สำนักข่าวไทย