กรุงเทพฯ 15 ก.ค. – กรุงไทย คาดจีดีพีปีนี้หดตัวรุนแรง -8% ประเมินปีนี้ตลาดที่อยู่อาศัยในกทม.และปริมณฑลหดตัว 27% คาดใช้เวลา 4-5 ปี ฟื้นตัว
นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะหดตัวอย่างรุนแรง (Deep Recession) ถึง 8.8% โดยมีความเป็นไปได้ที่กรุงไทยจะมีการปรับลดจีดีพีปีนี้ลงอีก เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เปลี่ยนแปลงวันต่อวัน หรือการ Lockdown เพิ่มเติม โดยมองจีดีพีปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ -8 ถึง – 12%
ส่วนในเศรษฐกิจปี 2564 มีความไม่แน่นอนสูงมาก คาดจีดีพีขยายตัว 6.1% ภายใต้สมมติฐานว่าการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวและนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาท่องเที่ยวในปีหน้า16 ล้านคน ขณะที่ปีนี้คาดจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย 8 ล้านคน อย่างไรก็ดีขึ้นกับสามารถในการควบคุมโรคระบาด และการค้นพบวัคซีนป้องกันโรคที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า
ด้านภาคการส่งออกปีนี้ยังมีอุปสรรคค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับทั่วโลก สินค้าส่งออกอุตสาหกรรมของไทย เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ล้วนได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง ขณะที่ปีหน้าคาดจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมมองว่าปี 2563 -2564 เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกจโลกต้องเจอศึกหนักแบบไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นความท้าทายที่เราต้องค่อยๆประคับประคองไป และระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในช่วงนี้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าในการผ่อนชำระหนี้ ส่วนในอนาคต NPL จะน่ากังวลหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ
สำหรับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้ ถูกบั่นทอนอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยผู้บริโภคไทยได้รับผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรง ส่วนผู้บริโภคต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนได้รับผลกระทบจากมาตรการ Lockdown ทำให้ไม่สามารถซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไทยได้ ส่งผลให้ยอดจองเปิดใหม่ (Pre-sale) ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจาก 20% ในไตรมาสที่ 4/2562 มาอยู่ที่ 15% ในไตรมาสที่ 1/2563 และมีโอกาสลดต่ำลงเหลือ 12% ในไตรมาสที่ 2/2563 โดยประเมินว่าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปีนี้ มูลค่าลดลง 27% จาก 5.7 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา เหลือ 4.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์บ้านจัดสรร 2.4 แสนล้านบาท ติดลบ 24% คอนโดมิเนียม 1.8 แสนล้านบาท ติดลบ 30% ส่งผลให้สต็อกเหลือขายในภาพรวม มีโอกาสขยายตัว 5% ขึ้นไปแตะ 185,000 ยูนิต แม้ผู้พัฒนาอสังหาฯ จะปรับลดการเปิดโครงการใหม่ลงเกือบ 40% จากปีที่ผ่านมาก็ตาม
ทั้งนี้ มองว่า ความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในปีนี้จะลดลงตามการชะลอเปิดโครงการ หรือการชะลอการลงทุน ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องการสภาพคล่อง หรือเงินระยะสั้นในการบริหารจัดการมากกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่าน อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการก็มีทางเลือกในการกู้เงินกับธนาคารหรือออกหุ้นกู้
“โควิด-19 ทำให้ความตั้งใจซื้อที่อยู่อาศัยหายไปราว 1 ใน 3 โดย 80% ของผู้บริโภคเลื่อนการซื้อออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากต้องให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิต และการลงทุนในอสังหาฯขณะนี้ให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก ซึ่งทางออกของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ การเลื่อนการก่อสร้างออกไป รอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และคาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปี ถึงจะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19” นายพชรพจน์กล่าว
นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยลดลง ยังพบ 3 พฤติกรรมหลักๆของผู้บริโภคบางกลุ่มอาจเปลี่ยนไปอย่างถาวร (New Normal) ได้แก่ เปลี่ยนช่องทางการซื้อที่อยู่อาศัยผ่านทางออนไลน์ โดยในช่วงเกิดโควิด-19 มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของผู้พัฒนาอสังหาฯ ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 40% ทำให้กลายเป็นช่องทางหลักของผู้พัฒนาฯ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับขนาดของที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยยอมอยู่ไกลกว่าเดิม เพื่อรองรับกิจวัตรประจำวันที่ต้องใช้เวลาในที่อยู่อาศัยนานขึ้น เช่น การ Work From Home และสุดท้ายผู้บริโภคหวงแหนความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ต้องการใช้พื้นที่ส่วนกลางแบบมีพื้นที่ส่วนตัว เพื่อตอบโจทย์ด้านสุขภาพและความปลอดภัย ขณะที่ดอกเบี้ยที่ต่ำมากในจังหวะนี้ อาจจะไม่ช่วยในการกระตุ้นซื้ออสังหาริมทรัยพ์ของผู้บริโภคมากนัก
“ผู้พัฒนาอสังหาฯ ควรพิจารณาแนวทางต่าง ๆ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาทิ การนำเทคโนโลยี Virtual Visits มาสนับสนุนการซื้ออสังหาฯ ผ่านทางออนไลน์ โดยสามารถชมโครงการได้อย่างเสมือนจริง ปรับแผนมาพัฒนาบ้านแนวราบมากขึ้น เช่น บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ ที่มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโดมิเนียม ออกแบบคอนโดมิเนียมในบางทำเล ให้มีห้อง One Bed Plus แทน Studio มากขึ้น ตลอดจนการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางใหม่ให้สามารถนั่งแยกกัน และติดตั้งอุปกรณ์ Touchless เพื่อลดโอกาสที่ผู้บริโภคจะสัมผัสกันให้น้อยที่สุด” นายกณิศกล่าว . – สำนักข่าวไทย