ไออาร์พีซีมั่นใจเศรษฐกิจฟื้นวางแผนผลิตเพิ่มครึ่งหลังปี 63

กรุงเทพฯ 8 ก.ค. – บมจ.ไออาร์พีซี ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตกำลังกลั่นครึ่งหลังปี 63 เป็น 2 แสนบาร์เรล/วัน คาดเศรษฐกิจฟื้นตัว ความต้องการใช้ปิโตรเคมี-ปิโตรเลียมพุ่งสูงขึ้น ปรับตัว ตั้ง “มดทีม” ลุยตลาดสร้างมูลค่าเพิ่ม เห็นโอกาสชัดอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ปรับแผนทุกด้านคาด EBITDA เพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาทในปี 2568   


นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กล่าวว่า หลังจากทั่วโลกคลายล็อกดาวน์จากการการป้องกันการระบาดโควิด-19 และหากไม่เกิดเหตุระบาดระลอก 2 ที่รุนแรงความต้องการใช้ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี รวมทั้งราคาจะขยับขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงวางแผนกำลังผลิตครึ่งหลังของปี 2563 เพิ่มกำลังกลั่นเฉลี่ยเป็น 200,000 บาร์เรล/วัน จากที่ไตรมาส 1/2563 ที่มีกำลังผลิต เฉลี่ย 189,000 บาร์เรล/วัน ไตรมาส 2/2563 คาดเฉลี่ย 190,000 บาร์เรล/วัน โดยจากที่ราคาผลิตภัณฑ์ดีขึ้นและขาดทุนสตอกลดน้อยลง จึงคาดว่าค่าการกลั่นรวม (GIM) ไตรมาส 2/2563 จะดีขึ้นมาอยู่ที่ 8-9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากไตรมาส 1/2563 เฉลี่ย 6.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันคาดว่าครึ่งหลังของปีคงจะอยู่ประมาณ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะหากราคาขึ้นสูง กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันที่ลดกำลังผลิตก็จะกลับมาผลิตเพิ่ม กดดันทำให้ราคาปรับตัวสูงไม่มากนัก


ทั้งนี้ จากผลกระทบโควิด-19 ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกและกดดันราคาปิโตรเลียม-ปิโตรเคมี ซึ่งกระทบมายังผลประกอบการไออาร์พีซี ทางบริษัทจึงได้ปรับแผนดำเนินงานทุกด้าน และรักษาสภาพคล่องให้ดีที่สุด ปรับลดงบค่าใช้จ่ายดำเนินการประมาณร้อยละ 15 จากที่แต่ละปีมีประมาณ 15,000 ล้านบาท/ปี  ปรับลดงบลงทุน  5 ปี (2563-2567) ลงเหลือ 28,055 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 53,953 ล้านบาท ขณะเดียวกันได้ปรับการทำงานให้ทันกับการตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยนำทุกฝ่ายมาทำการตลาดร่วมกันกับลูกค้า เช่น การพัฒนาสินค้าร่วมกัน เป็นทีม Agile New way of working TEAM  (ANT ) หรือ ทีมมด ให้ขายเร็ว ขายหมด และเน้นขายเงินสด มีการปรับปรับส่งออกให้ทันกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงด้วยการคาดการณ์ล่วงหน้า เช่น ช่วงต้นมีตลาดจีนลดลงมาก ก็ปรับไปตลาดอื่น ๆ แทน ส่วนขณะนี้ตลาดจีนเริ่มกลับมา ตลาดเอเชียใต้ซบเซาก็ปรับการขายไปสู่ตลาดที่ทำรายได้ให้ดีขึ้น 

นอกจากนี้ ทีมมดยังเร่งทำตลาดที่สร้างรายได้ที่ดี เช่น มุ่งไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ที่พบว่ามีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นและเป็นที่ต้องการของตลาดสูงขึ้นหลังโควิด-19 และเม็ดพลาสติกของไออาร์พีซี ก็สามารถผลิตตอบสนองได้ และ Ultra High Molecular Weight Polyethylene (UHMW-PE) เม็ดพลาสติกความหนาแน่นมากกว่าโพลิเอทินลีนทั่วไป 10 เท่า ซึ่งสามารถใช้งานได้หลากหลาย โดยแผนดังกล่าวก็เป็นไปตามนโยบายเน้นการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) ในสัดส่วน ร้อยละ13 มีเป้าหมายจะเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ปี 2567 ซึ่งสินค้ากลุ่ม Specialty มีราคาสูงกว่าสินค้าประเภท commodity ประมาณร้อยละ 10 


นอกจากนี้ การเข้าถือหุ้นร้อยละ 50 ในบริษัท ไมเท็กซ์ โพลิเมอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษพีพีคอมพาวด์ (PP Compound :PPC)  จะทำให้บริษัทสามารถขยายตลาดสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รวดเร็วขึ้น และช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานผลิต PP Compound ให้ใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่จากปัจจุบันผลิตอยู่ 90,000 ตัน/ปี เป็น 140,000 ตัน/ปี ใน 4 ปีข้างหน้า และการขยายกำลังการผลิตพลาสติก ABS อีก 6,000 ตัน/ปี ซึ่งเป็นชนิดผงสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น มีราคาสูงกว่า ABS เกรดทั่วไปประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยการขยายกำลังการผลิตดังกล่าวจะแล้วเสร็จเดือนสิงหาคม 2563

“แผนงานทั้งหมด คาดระยะสั้น 4-5 ปี จะผลักดันให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ภายในปี 2568 กลับมาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 20,000 ล้านบาทอีกครั้ง หลังจากเคยทำได้แล้วเมื่อปี 2560 และวางเป้าระยะยาวจะมี EBITDA ในปี 2573 ที่ระดับ 30,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2562 บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 5,940 ล้านบาท และเพื่อเสริมสภาพคล่อง บริษัทยังได้เตรียมแผนออกหุ้นกู้อีกประมาณ  5,000 ล้านบาท ถึง 10,000 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อรีไฟแนนซ์ ลงทุน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ขณะที่เมื่อต้นปีได้กู้เงินระยะสั้นจากธนาคารในวงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้ใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงาน ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 มีเงินสดในมือประมาณ 12,000 ล้านบาท  โดยปีนี้มีภาระหนี้ที่ต้องชำระคืน 6,000 ล้านบาท” นายนพดล กล่าว

สำหรับแผนลงทุน 5 ปี ปรับลดไป ประกอบไปด้วย  ชะลอการลงทุนโครงการผลิตอะโรเมติกส์ หรือโครงการ MARS ออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ยังคงการลงทุนในโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) ไว้ เพื่อรองรับการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5,  เพิ่มการลงทุนในโครงการ Strengthen IRPC  2,176 ล้านบาทเพื่อเพิ่มรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิตในช่วง 4 ปี (2563-2566) ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้า EBITDA อยู่ที่ 4,600 ล้านบาท  ซึ่งจะมาจากการดำเนินงานในโครงการ E4E, โครงการ IRPC 4.0 โดยใช้ดิจิทัล และโครงการ Breakthrough โดยให้พนักงานเสนอโครงการที่ไม่เกี่ยวข้องกับสายงาน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กร  เช่น โครงการลดการสำรองน้ำมันดิบ (Crude & Product  Inventory)  ตั้งเป้าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 1,000 ล้านบาท ในช่วง 3 ปี (2563-2565).-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง