กทม. 8 พ.ค.-การุณ แนะ รัฐเลิกเคอร์ฟิวสร้างบรรยากาศท่องเที่ยว จี้เร่งเยียวยาแรงงานภาคบริการ เผยตกงานกว่า 7 ล้านคน
นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากการที่รัฐใช้มาตรการล็อกดาวน์ประเทศเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้การประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการประสบความยากลำบาก หลายธุรกิจไม่สามารถเปิดกิจการได้ เพราะต้องปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ จากปัจจัยดังกล่าว หลายธุรกิจต้องปลดคนงาน ซึ่งจากการประเมินของภาคเอกชนคาดว่าในเดือนมิถุนายน จะมีแรงงานตกงานราว 7.13 ล้านคน ซึ่งการตกงานของภาคแรงงานสามารถ แบ่งออกเป็น จากธุรกิจบันเทิง 6 หมื่นคน ร้านอาหาร 2.5 แสนคน สปาและร้านนวดในระบบ 3.96 หมื่นคน สปาและร้านนวดนอกระบบ 2 แสนคน โรงแรม 9.78 แสนคน ศูนย์การค้าและธุรกิจค้าปลีก 4.2 ล้านคน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 7.76 หมื่นคน สิ่งทอ 2 แสนคน ธุรกิจก่อสร้าง 1 ล้านคน และหากยืดเยื้อต่อไปอีก 2-3 เดือน ตัวเลขการตกงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 10 ล้านคน เป็นแรงงานทั้งในและนอกระบบประกันสังคม ขณะนี้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงคือธุรกิจเอสเอ็มอี และหากการระบาดของโควิด-19 ยืดยาวเกินเดือนมิถุนายน วิกฤติจะลามไปกระทบธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงธุรกิจส่งออกขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้ตัวเลขคนตกงานสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
นายการุณ กล่าวด้วยว่า จากวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ จะเป็นบทเรียนใหญ่หลวงแก่รัฐบาล ที่ลังเล เชื่องช้า ไม่รอบคอบ แม้แต่การเยียวยาประชาชน รัฐบาลก็ล้มเหลว ทำได้ไม่ทั่วถึง และไม่ทันเหตุการณ์ รัฐต้องเร่งเยียวทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วเพื่อต่อชีวิตของประชาชนที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลควรเตรียมการคลายล็อกกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้คนไทยได้ทำงานโดยมีมาตรการทางสาธารณสุขที่เหมาะสม ควรรีบยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก ฉุกเฉิน รวมทั้งเลิกเคอร์ฟิว แต่มาใช้อำนาจตามกฎหมายปกติแทนจะสามารถสร้างบรรยากาศการลงทุนได้
“รัฐบาลต้องวางแนวทาง กิจกรรมและพฤติกรรมที่เรียกว่า New Normal ที่เหมาะสมสำหรับคนไทย ที่สำคัญคือประเทศไทยในช่วงต่อจากนี้ไปมีโอกาสดีที่จะพลิกวิกฤติโควิดให้เป็นโอกาสอันดี เพราะประเทศไทยจะเป็นที่สนใจทั้งด้านการท่องเที่ยว การลงทุน การศึกษา การส่งออกสินค้าต่างๆ รวมถึงเป็นแดนสวรรค์ที่ใครก็อยากมาพักอาศัยทั้งชั่วคราวและถาวรรัฐบาลต้องเตรียมการและวางแผนรองรับโอกาสเหล่านี้ให้ดี” นายการุณกล่าว.-สำนักข่าวไทย